ลองไปอ่านประวัติศาสตร์การเมืองย้อนหลังดูได้เลย เกือบ 100 ปีมานี้ ทุกครั้งที่มีการก่อรัฐประหารหรือ ล้มล้างรัฐบาลด้วยกำลังอาวุธ ข้ออ้างของทุกคณะจะเหมือนๆ กัน
มีแต่พวกเขาเลว พวกเราดี
พวกเขาขี่ควาย พวกเราขี่ม้าขาว พวกเขาโกงกิน พวกเราสุจริตจนสามารถดมความสะอาดได้ พวกเขาก่อความวุ่นวาย เป็นภัยต่อประเทศชาติ พวกเราจึงมาเพื่อรักษาความสงบ มาให้ความปลอดภัยและจะนำพาประเทศสู่ความเจริญ ความมั่งคั่ง ยั่งยืน
เปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบอบประชาธิปไตยมาเกือบ 100 ปีแล้ว ประเทศไทยยังมีการปฏิวัติรัฐประหาร เฉลี่ยทุกๆ 6-7 ปี
ประเทศนี้มีนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 29 คน
11 คน มาจาก “รัฐประหาร” อีก 18 มาจากการเลือกตั้ง (รวม พลเอก สุจินดา คราประยูร ที่แอบเล็ดลอดขึ้นมานั่งเก้าอี้ได้แค่ 47 วัน)
แต่แม้ตัวเลขจะ 11 ต่อ 18
มีคนช่างคิดบันทึกเอาไว้ใน WIKIPEDIA ว่าด้วย “เวลา” ว่า
บนเก้าอี้ “นายกรัฐมนตรี” กว่า 3 หมื่นวันนั้น นายกรัฐมนตรีที่มาจาก “รัฐประหาร” นั่งเสียกว่า 17,000 วัน
ส่วนนายกรัฐมนตรีที่มาจาก “การเลือกตั้ง” มีโอกาสนั่งเก้าอี้ตัวนั้นได้ไม่ถึงครึ่ง
การเมืองไทยโดยส่วนใหญ่จึงไม่ใช่ “เสรี”
การต่อต้านอำนาจเผด็จการกลายเป็น “ความแปลกแยก” การกอดคอกับผู้มีอำนาจกลับ “น่ายกย่อง”
แม้แต่บนถนนการเมืองประชาธิปไตย พรรคการเมืองใดแสดงออกถึงอิสรภาพทางความคิดเป็นเสรีชนจะถูกมองด้วยสายตาที่หมิ่นหยาม
ถ้าไม่ยอมเป็น “เบี้ยล่าง” ก็จะถูกจับตา จนถึงขั้น “สกัด” กลั่นแกล้ง ใส่ความ ป้ายสี ปัดแข้งปัดขา
“อนาคตใหม่” เป็นพรรคการเมืองที่เกิดขึ้นด้วยแรงบันดาลใจของคนกลุ่มหนึ่งที่คิดว่า ต้องกล้าเสนอตัวเพื่อเป็น “ทางเลือก” กับประชาชน และจะเดินเข้าสู่สภาอย่างสง่าผ่าเผย
ไม่ซ่อนเร้นอำพราง ไม่หน้าด้าน ไม่ฉ้อฉลคดโกง
“อนาคตใหม่” ชูธงต่อต้านเผด็จการมาตลอด ประกาศชัดว่าประชาธิปไตยไม่มีทางลัด การเลือกตั้งต้องโปร่งใส ไม่คดในข้องอในกระดูก
ด้วยฝีปากที่คมกล้าของนักการเมืองกลุ่มนี้บางทีก็ทำให้ผู้ที่กุมอำนาจรัฐอยู่เกิดอาการ “คันมือ”
ก็มีพร้อมทั้งกฎหมายและคนรับใช้
อยากจะ “ลงมือ” ลดความห้าวหาญ “อนาคตใหม่” อยู่เหมือนกัน !?!!