เมื่อพรรคการเมืองและนักการเมืองเปล่งคำว่า “ต้านเผด็จการ” (ในที่นี้หมายถึง เผด็จการทหาร) น้อยนักที่จะออกมาจากหัวใจ ส่วนมากเป็นการเล่นคำให้ทันกับเหตุการณ์เฉพาะหน้า
ที่ต้านเผด็จการจริงๆ มีอยู่น้อยพรรคและน้อยคน
ไม่เพียงแต่เท่านั้น ถ้าหากใครหรือพรรคการเมืองใดตั้งเข็มมุ่งและเดินหน้าต้านเผด็จการอย่างจริงจัง จุดจบมักไม่สวยนัก
“ประชาธิปัตย์” ในรอบหลายปีมานี้ ไม่ใช่พรรคที่ต้านเผด็จการ !
ในทางตรงกันข้าม ภายใต้การนำที่ผิดทิศผิดทาง ในบางช่วงจังหวะ “ประชาธิปัตย์” กลับยืนอยู่ฝั่งเดียวกับเผด็จการด้วยซ้ำไป
การนำที่ผิดพลาดพาประชาธิปัตย์ลงหุบเหวตั้งแต่บอยคอตเลือกตั้ง
สมาชิกประชาธิปัตย์จำนวนหนึ่งยินดีกับการชักชวนกันปิดบ้านปิดเมือง ปิดสถานที่ราชการ บางคนฝันถึงขั้นปิดประเทศ
แกนนำจำนวนหนึ่งของประชาธิปัตย์ถือเอาการชนะคะคานทางการเมืองสำคัญกว่า “หลักการ” จึงเห็นดีเห็นงามกับการเผาบ้านเพื่อไล่หนู
แม้จะถูกหมิ่นหยามว่าจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร “ประชาธิปัตย์” ก็ไม่ได้รู้สึกผิดบาป !
มีประวัติศาสตร์บันทึกและยืนยัน ว่า “ประชาธิปัตย์” ยืนอยู่ตรงไหนในท่ามกลางการปลุกระดมและจุดไฟความเกลียดชัง
และเมื่อสถานการณ์สุกงอม บ้านเมืองถูกปั่นจนผู้คนเข้าใจว่า “ถึงทางตัน” มุขเดิมๆ ก็ถูกงัดออกมาใช้
กล่าวสำหรับ “สังคมไทย” ซึ่งมีลักษณะเฉพาะ ยังมีผู้คนจำนวนหนึ่งซึ่งเชื่อว่าจะมีอัศวินขี่ม้าขาวมาหยุดยั้งปัญหา และจะนำความสงบสุขมาให้
“คนหน้าเดิม” มาพร้อมๆ กับสำนวนเดิมๆ แผนเดิม คล้ายๆ กับหลัง “6 ตุลา 2519” ที่คณะรัฐประหาร ขอเวลา 12 ปี ทำตามบันได 3 ขั้น เพื่อปฏิรูปการปกครอง
คราวนี้มาในชื่อ “คสช.” หนักกว่าคราวนั้นตรงที่บอกว่า “ขอเวลาไม่นาน” แต่วางยุทธศาสตร์ 20 ปี มี ส.ว.250 คน แต่งตั้งเอาไว้เป็นฐานสนับสนุนให้ “หัวหน้า คสช.” เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป หลังจากที่อยู่มาแล้ว 5 ปี
อีกทางหนึ่งใช้ “พรรคพลังประชารัฐ” รุกรบทุกพื้นที่
ตีประชาธิปัตย์แตกพ่าย
สูญพันธุ์ใน กทม.
หลายจังหวัดสำคัญในภาคใต้ แม้จะเคยยืนหยัดอย่างมั่นคงมาหลายทศวรรษก็ถูก “พลังประชารัฐ” กระหน่ำยับเยิน
“ประชาธิปัตย์” ที่ควรเติบโตเป็น 1 ใน 2 พรรคใหญ่สุดที่มีอุดมการณ์มั่นคงองอาจ จะกลายเป็น “พรรคขนาดกลาง” รอเสียบร่วมรัฐบาลหรือ !?!!