มีคำถามว่า เมื่อฝ่ายค้านขอเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 กรณีนายกรัฐมนตรีถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วน สภาผู้แทนราษฎรควร “ประชุมลับ” หรือไม่
อย่างที่นำเสนอเอาไว้เมื่อวันวานว่า ไทยที่เล็กกระจิดริดเมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกามหาอำนาจนั้น มี “วิธีคิด” หรือมุมมองทางการเมืองต่างกันราวฟ้ากับดิน
คนอเมริกันโขกสับตำหนิผู้นำได้โดยไม่ตกเป็นภัยต่อความมั่นคง แต่คนไทยต้องสับสน
ชนชั้นนำไทยเป็นผู้สร้างความสับสน ที่เอา “ความมั่นคงของประเทศชาติ” ไปปะปนกับ “ความมั่นคงของตัวบุคคล”
เอาความมั่นคงของรัฐไปปนเปกับความมั่นคงของรัฐบาล
จึงพบว่าบ่อยครั้งที่ผู้มีอำนาจทางการเมืองส่งสัญญาณอันสับสนไปถึง “กลไกรัฐ” หรือหน่วยงานต่างๆ ในบังคับบัญชาจนทำให้บรรดาข้าราชการหรือผู้ใต้บังคับบัญชาพากันติดนิสัย “ปฏิบัติการเพื่อความมั่นคงของนาย”
งานนี้นายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นอดีต “ผู้นำรัฐประหาร” ก็ยังไม่คุ้นเคยกับการใช้ “สภา” เป็นเวทีแก้ปัญหา
การอภิปรายทั่วไปที่ไม่มีการลงมติที่แสนจะธรรมดากำลังถูกตีความว่าเป็น “เขียง” สำหรับโขกสับนายกรัฐมนตรีผู้ทำพลาดจากการกล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญบัญญัติ ฝ่ายรัฐบาลจึงจะขอ “ประชุมลับ”
จะประชุมลับกันไปทำไม ไม่ใช่ปัญหา “ความมั่นคงของชาติ” ไม่ใช่เรื่องที่กระทบกระเทือนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและสถาบันสำคัญของชาติ
เป็นเรื่องปัจเจกบุคคล
เป็นปัญหาความมั่นคงของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี คนเดียวแท้ๆ ที่กล่าวคำถวายสัตย์ไม่ครบถ้วน ทำให้ถูกนำไปตีความถึงความชอบด้วยนิติประเพณี ความสมบูรณ์ของรัฐบาล ไปจนถึงขั้นถามว่า “ถ้าหากไม่เคยกล่าวคำสัญญา แล้วจะถือว่าบิดพลิ้วได้อย่างไรกัน”
รัฐธรรมนูญจึงจำเป็นต้องบัญญัติทุกถ้อยคำที่ถวายสัตย์ปฏิญาณเอาไว้
แต่ด้วยเหตุอันใดยังไม่มีใครรับรู้ได้ พล.อ.ประยุทธ์ ผู้เป็นนายกรัฐมนตรี จึงกล่าวไม่ครบถ้วนตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ
ยิ่งไปกว่านั้น ยังกล่าวถ้อยคำอื่นเพิ่มเติมเข้าไป ทั้งที่ไม่มีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะต้องการ “คำตอบ” ด้วยการยื่นญัติติอภิปราย เพราะนายกรัฐมนตรีเลี่ยงแล้วเลี่ยงอีกไม่เข้าสภามาตอบกระทู้สักที
ถึงจะรักในเกียรติและศักดิ์ศรีแห่งตนก็ต้องเคารพผู้อื่นด้วยความเท่าเทียม
อยากเดินบนถนนประชาธิปไตยต้องสง่าผ่าเผย !?!!