สอบมาราธอน 7 ชม. พี่สาว”บูม”ให้การภาคเสธ รับโอนเงินจาก”ปริญญา” ตร.คุมตัวฝากขัง

เมื่อเวลา 07.15 น. วันที่ 15 สิงหาคม ที่กองบังคับการปราบปราม(บก.ป.)น.ส.สุพิชย์ฌา จารวิจิต อายุ 32 ปี น้องสาว นายปริญญา จารวิจิต อายุ 35 ปีและพี่สาว นายจิรัชพิสิษฐ์ จารวิจิต หรือ บูม อายุ 27 ปี ดารานักแสดง ผู้ต้องหาคดีร่วมกันฟอกเงิน พร้อมทนายความเดินทางเข้าพบพ.ต.อ.ชาคริต สวัสดี รอง ผบก.ป.เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาคดีร่วมกันฟอกเงิน

ทั้งนี้สืบเนื่องจากนายเออาร์นี โมตาวา ซาริมา ชาวฟินแลนด์ ได้เข้าแจ้งความว่าถูก นายปริญญา และพวกหลอกลงทุนซื้อหุ้นด้วยเงินสกุลบิทคอยน์จำนวน 797 ล้านบาท ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้ขออนุมัติศาลออกหมายจับ 3 พี่น้องจารวิจิต ประกอบด้วย นายปริญญา น.ส.สุพิชย์ฌา และ นายจิรัชพิสิษฐ์ ในข้อหาฟอกเงิน หลังตรวจสอบเส้นทางการเงินพบว่า นายปริญญา ได้โอนเงินที่หลอกลวงผู้เสียหายเข้าบัญชี น.ส.สุพิชย์ฌา และ นายจิรัชพิสิษฐ์ กระทั่งเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ กก.1 บก.ป.ได้จับกุม นายจิรัชพิสิษฐ์ ได้ที่บริเวณชั้น 2 ห้างเมเจอร์รัชโยธิน ถ.พหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม. ขณะกำลังถ่ายทำละครเรื่องใหม่ จากนั้น น.ส.สุพิชย์ฌา ได้ติดต่อขอเข้ามอบตัวรับทราบข้อกล่าวหาในวันนี้เวลา 10.00 น.แต่เจ้าตัวได้รีบชิงเข้าพบพนักงานสอบสวนก่อนเวลานัดหมายเพื่อหลบเลี่ยงบรรดาสื่อมวลชนที่มารอรายงานข่าวเป็นจำนวนมาก

ด้านพ.ต.อ. ชาคริต กล่าวว่า น.ส.สุพิชย์ฌา ได้เดินทางมาพร้อมกับทนายเพื่อพบพนักงานสอบสวนหลังถูกออกหมายจับในข้อหาร่วมกันฟอกเงิน ซึ่งขณะนี้พนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างพูดคุยและสอบปากคำ โดยเฉพาะประเด็นเรื่องของเส้นทางการเงินที่รับโอนมาจากนายปริญญา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังสอบปากคำ น.ส.สุพิชย์ฌา นานกว่า 5 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่ก็ได้หยุดพักเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน โดยเจ้าหน้าที่ได้สั่งข้าวผัดกะเพราไก่จากโรงอาหารกองปราบปรามให้ผู้ต้องหารับประทาน จากนั้นได้เริ่มสอบปากคำอีกครั้ง ก่อนนำตัวผู้ต้องหาพิมพ์ลายนิ้วมือเพื่อทำประวัติก่อนนำตัวไปฝากขังศาลอาญาเพื่อดำเนินคดีต่อไป

ด้านพล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผบก.ป. เปิดเผยภายหลังสอบปากคำผู้ต้องหาว่า จากการสอบสวน น.ส.สุพิชย์ฌา ให้การว่า มีการรับเงินมาจาก นายปริญญา จารวิจิต ซึ่งเป็นพี่ชายจริง และยอมรับว่า นายปริญญา ได้โอนเงินเข้าบัญชีหลายครั้ง โดยพี่ชายจะเป็นคนสั่งว่าจะต้องถอนเงินออกมาเท่าไหร่ และโอนออกไปเท่าไหร่ ซึ่งตัวของ น.ส.สุพิชย์ฌา มีหน้าที่นำเงินเข้า และออกจากบัญชีตามคำสั่งพี่ชายเท่านั้น นอกจากนี้ นายปริญญายังได้สั่งให้ น้องสาวนำเงินไปทำธุรกรรมซื้อ-ขายที่ดินเพื่อการฟอกเงิน ซึ่งเมื่อขายได้แล้ว ก็จะโอนเงินเข้าบัญชี นายปริญญา นอกจากนี้ น.ส.สุพิชย์ฌา ยืนยัน ด้วยว่าที่ผ่านมาไม่เคยรับรู้ว่าเงินที่พี่ชายโอนมาให้นั้นได้มาอย่างไร

Advertisement

พล.ต.ต.ไมตรี กล่าวต่อว่า เมื่อวานที่ผ่านมา(14 สิงหาคม) ทางเจ้าหน้าที่กองปราบปรามได้เข้าไปตรวจค้นบ้านพักของพ่อแม่นายจิรัชพิสิษฐ์ เพื่อหาหลักฐานทางคดีเพิ่มเติม เบื้องต้นพบเอกสารเกี่ยวกับการโอนเงินจำนวนหนึ่ง จึงยึดมาตรวจสอบ อย่างไรก็ตามต่อจากนี้จะให้พนักงานสอบสวนเรียกพ่อและแม่ ของ นายปริญญา มาให้ปากคำภายในสัปดาห์นี้หลังพบว่า นายปริญญา โอนเงินจำนวน 90 ล้านบาทเข้าบัญชีแม่ และให้แม่โอนเงินเข้าบัญชีพ่อ 40 ล้านบาท นอกจากนี้ได้ให้พนักงานสอบเร่งรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อออกหมายจับผู้ต้องหาซึ่งเป็นเพื่อนและเครือญาติของ นายปริญญา อีก 5-6 ราย ซึ่งเป็นกลุ่มผู้รับเงินและโอนเงินด้วย

ต่อมาเมื่อเวลา 14.00 น.พล.ต.ต.ไมตรี กล่าวภายหลังสอบปากคำ น.ส.สุพิชย์ฌา พี่สาวของนายจิรัชพิสิษฐ์ กว่า 7 ชั่วโมงว่า ขณะสอบปากคำ น.ส.สุพิชย์ฌา ร้องไห้ตลอดการให้ปากคำ พร้อมทั้งปฏิเสธว่าไม่ทราบเรื่องการหลอกลวงประชาชน แต่ยอมรับว่าได้รับการโอนเงินจาก นายปริญญา พี่ชาย และนำออกไปทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น โดยทุกขั้นตอนเป็นคำสั่งจากพี่ชาย ซึ่งตัวเขาเองไม่ได้ร่วมลงทุน หรือชักชวนใครมาประกอบธุรกิจหุ้นแต่อย่างใด

จากนั้นเมื่อเวลา 14.30 น.เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัว น.ส.สุพิชย์ฌา ไปฝากขังผัดแรกที่ศาลอาญา โดยท้ายคำร้องจะคัดค้านการประกันตัวเนื่องจากถือเป็นคดีที่มีมูลค่าความเสียหายสูงและประชาชนให้ความสนใจ

Advertisement

อย่างไรก็ตามระหว่างการนำตัวผู้ต้องหาไปฝากขังที่ศาลอาญา ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถาม น.ส.สุพิชย์ฌา ถึงพฤติการณ์ในการร่วมก่อเหตุ รวมทั้งถามว่าอยากพูดอะไรหรือไม่ แต่นางสาวสุพิชย์ฌา ซึ่งสวมแว่นดำก้มหน้าและไม่ยอมตอบคำถามใดๆ ก่อนที่จะขึ้นรถตำรวจกองปราบปรามไปยังศาลอาญาทันที

ด้านทนายความผู้ต้องหา กล่าวเพียงสั้นๆ ว่าลูกความได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และขณะนี้ได้เตรียมหลักทรัพย์จำนวนไม่ต่ำกว่า 2 ล้านบาทไว้สำหรับยื่นประกันตัวลูกความกับศาลแล้ว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image