จากกรณีนายเออาร์นี โมตาวา ซาริมา ชาวฟินแลนด์ ได้แจ้งความว่าถูกนายปริญญา จารวิจิต และพวก หลอกลงทุนซื้อหุ้นด้วยเงินสกุลบิทคอยน์จำนวน 797 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม นายปริญญา จารวิจิต พี่ชายของนายจิรัชพิสิษฐ์ จารวิจิต หรือบูม ดารานักแสดงหนุ่มดาวรุ่งซึ่งเป็นผู้ต้องหาในคดีร่วมกันฟอกเงิน ได้ออกมาเปิดใจเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว ผ่านรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ไทยทีวีสีช่อง 3 ว่าไม่ได้หลบหนี เพราะก่อนจะเดินทางไปต่างประเทศได้ติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อขอเอกสารทางคดี ซึ่งตำรวจก็รับทราบแล้ว และยืนยันว่าจะกลับมาสู้คดีแน่นอน นอกจากนี้พ่อแม่ และนายจิรัชพิสิษฐ์ หรือบูม จารวิจิต นางสาวสุพิชฌาย์ จารวิจิต น้องชายและน้องสาวของนายปริญญา ก็ไม่รู้เรื่องด้วย ซึ่งในครอบครัวมีเพียงตนและนายธนสิทธิ์ จารวิจิต น้องชายอีกคนที่รู้เรื่องเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว
นายปริญญากล่าวว่า คำให้การของนายเออาร์นีที่บอกว่าตนเชิญชวนไปลงทุนซื้อหุ้นด้วยเงินสกุลบิทคอยน์นั้นไม่เป็นความจริง แต่เป็นตัวนายเออาร์นีเองที่ขอแลกเงินบิทคอยน์กับเงินสดของตนเนื่องจากไม่อยากแลกกับตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินดิจิทัล เพราะหากแลกไปจำนวนมากจะทำให้เพดานการซื้อขายผันผวนมากเกินไป และอาจทำให้เงินบิทคอยน์ราคาตกต่ำลง จึงได้มาขอให้ตนยอมแลกเป็นเงินสดและเสนอจะให้ค่าตอบแทนเพิ่ม 25% ตนก็ยอมแลกไป
นายปริญญาชี้แจงต่อว่า จุดที่นายเออาร์นีแจ้งว่าตนได้ฉ้อโกงนั้น น่าจะเกิดจากช่วงที่มีการทำสัญญาแลกเปลี่ยนซื้อขายหุ้นบริษัท Xpay ที่ตนลงทุนอยู่ โดยนายเออาร์นีกำลังพยายามออกเหรียญเงินดิจิทัลเป็นของตัวเอง และอยากได้บริษัทนี้มาใช้ในการออกเหรียญดังกล่าว จึงได้ทำการติดต่อกับเพื่อนอีกคนเพื่อขอซื้อหุ้นของตนในบริษัทดังกล่าวเป็นจำนวนเงิน 3 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งได้มีการทำสัญญาถูกต้องตามกฎหมาย แต่ส่วนสัญญาที่ทำกับเพื่อนของตนนายเออาร์นีได้ทำสัญญาไปนั้น มีระบุเรื่องการแลกเปลี่ยนหุ้นกับเงินบิทคอยน์ ซึ่งโดยปกติแล้วราคาบิทคอยน์จะแปรผันตลอดเวลา คนที่ทำสัญญาต้องรับความเสี่ยงเอง ซึ่งนายเออาร์นีก็พยายามบ่ายเบี่ยงการโอนเงินสกุลบิทคอยน์หลังจากราคาขึ้น ขณะเดียวกันพอราคาลงก็จะรีบโอนเงินบิทคอยน์แลกกับหุ้นทันที ด้วยความที่ราคาแปรผันตลอดเวลาตามข้างต้น ยืนยันว่านายเออาร์นีได้รับหุ้นและมีการซื้อขายกันอย่างถูกต้องตามสัญญานอกจากนี้นายเออาร์นี่ยังเคยฟ้องในศาลแขวงดุสิตในคดีฉ้อโกงเช่นกัน ซึ่งขณะนี้ยังคงสู้คดีกันอยู่ในชั้นศาล
ส่วนเรื่องการกระจายเงินไปให้คนในครอบครัว นายปริญญายืนยันว่า เรื่องนี้นายธนสิทธิ์ จารวิจิต น้องชายอีกคนเป็นคนดำเนินการทั้งหมด ซึ่งนายเออาร์นีเป็นคนเปิดกระเป๋าสตางค์อิเล็กทรอนิกส์ และจ้างน้องชายตนเป็นคนดำเนินการรับแลกเปลี่ยนบิทคอยน์เป็นเงินสด ซึ่งตนก็มาทราบภายหลังว่าน้องชายใช้บัญชีเพื่อนและครอบครัวในการแลกเปลี่ยนเป็นเงินสดออกมา โดยครอบครัวของตนก็ไม่ทราบเพราะปกติก็มีธุรกิจเป็นกงสี ซื้อขายฝาก ต้องโอนเงินสดกันเป็นประจำ และไม่ถือเป็นเรื่องผิดปกติที่มีเงินโอนเข้ามา โดยยืนยันว่าการทำธุรกรรมทั้งหมดกับนายเออาร์นี นั้นถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง มีหลักฐานการโอนทุกขั้นตอน
นอกจากนี้ นายปริญญากล่าวทิ้งท้ายว่า รู้สึกเป็นห่วงครอบครัวมากหลังจากเห็นข่าว โดยเฉพาะนายจิรัชพิสิษฐ์ จารวิจิต หรือบูม น้องชายที่เป็นดารานักแสดง และอยากให้ทุกคนให้กำลังใจนายบูม และยืนยืนว่าน้องชายคนนี้ไม่มีส่วนรู้เห็นและเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้นและจะรีบกลับมาสู้คดีภายในเดือนหน้าอย่างแน่นอน