เครือข่ายเหยื่อเมาแล้วขับ ร้องผบ.ตร. ข้องใจคดีร.ต.อ.ชนรถพยาบาลไม่คืบ หวั่นญาติไม่ได้รับเป็นธรรม

เมื่อเวลา 11.00น. วันที่ 24 ตุลาคม ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.)นายเจษฏา แย้มสบาย ประธานเครือข่ายเหยื่อเมาแล้วขับ กรุงเทพฯ พร้อมด้วยเครือข่ายองค์กรงดเหล้าภาคอีสาน และเครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต กว่า 30 คน เข้ายื่นจดหมายเปิดผนึกถึง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อขอความเป็นธรรม กรณีตำรวจก่อเหตุชนรถพยาบาล ขณะกำลังนำส่งผู้ป่วยท้องแก่ เป็นเหตุให้พยาบาลที่กำลังปฏิบัติหน้าที่เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บ 5 ราย

นายเจษฏา กล่าวว่า ร.ต.อ.เดชา เปรียบสม รองสารวัตรป้องกันและปราบปราม สถานีตำรวจภูธรประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ ตำรวจที่ก่อเหตุในคดีนี้ ขับรถที่ไม่ติดป้ายทะเบียน อีกทั้งไม่ยอมตรวจวัดแอลกอฮอล์ในวันเกิดเหตุ จึงเกรงว่า จะส่งผลต่อหลักฐานในคดี และตำรวจอาจช่วยเหลือกันเอง ทำให้ญาติผู้เสียหายไม่ได้รับความเป็นธรรมทั้งนี้ ต้องการให้กฎหมายมาตรา 144 ที่กำหนดให้ผู้ที่ไม่ยอมเป่าวัดระดับแฮลกอฮอล์และไม่เจาะเลือดในวันเกิดเหตุให้ถือว่าเป็นผู้เมาแล้วขับ และต้องมีผลบังคับใช้ทุกคนโดยไม่เลือกปฏิบัติไม่ว่าจะเป็นประชาชนทั่วไปหรือเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งในเหตุการณ์นี้ทางผู้ก่อเหตุไม่ยอมรับทราบข้อกล่าวหาเมาแล้วขับ จึงทำให้ทางเครือข่ายกังวลว่าทางผู้เสียหายและครอบครัวจะไม่ได้รับความเป็นธรรม

ขณะที่นางกัญญานันท์ ตาทิพย์ ตัวแทนเครือข่ายองค์กรงดเหล้าภาคอีสาน กล่าวว่า ในการเดินทางมาวันนี้ ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อมั่นในการทำงานของคณะพนักงานสอบสวนชุดใหม่ เพียงแค่ต้องการให้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งรัดคดี เนื่องจากผ่านมา8 วัน แล้ว แต่ทางคดียังไม่มีความคืบหน้า และต้องการผลักดันกฎหมายเกี่ยวกับการเมาแล้วขับในการแจ้งข้อหากระทำโดยประมาท เปลี่ยนเป็นกระทำโดยเจตนา เนื่องจากเหตุการณ์นี้ได้ส่งผลกระทบต่อครอบครัวผู้เสียหายเป็นอย่างมาก โดยนางสาวสุดารัตน์ เชื่อมาก พยาบาลที่เสียชีวิต เพิ่งเรียนจบมาได้2 ปีและเป็นเสาหลักของครอบครัว ส่วนพยาบาลอีกคนที่บาดเจ็บสาหัส เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ต้องดูแลลูกเล็กวัย 6 ขวบเพียงลำพัง

ด้านพล.ต.ต.มนตรี ยิ้มแย้ม รักษาการจเรตำรวจ(สบ7) รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นตัวแทนรับหนังสือ กล่าวว่าทางพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้กำชับว่าต้องทำให้เกิดความกระจ่างในคดีนี้ และยืนยันจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ใครผิดก็ว่าไปตามผิด และหากพบผู้ที่เกี่ยวข้องมีการทำผิดวินัย หรืออาญา ก็จะมีการดำเนินการอย่างเคร่งครัด ไม่มีการช่วยเหลือใดๆ ซึ่งตนเองสั่งการให้ทางพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 3 ส่งรายงานทั้งหมดมาให้ตนภายในสัปดาห์นี้ และตนเองจะลงพื้นที่ไปตรวจสอบคดีด้วยตนเอง

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image