รวบแก๊งชาวจีนงัดเซฟ หนีอีก1 -จับมาเลย์ฉ้อโกง 17 ล้านซุกไทย

เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 20 พฤศจิกายน ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รรท.ผบช.สตม. พร้อมด้วย พ.ต.อ.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รรท.ผบก.สส.สตม. พ.ต.อ.อาชยน ไกรทอง รรท.ผบก.ตม.3 ร่วมกันจับกุมตัว นายหวง หันชิน อายุ 48 ปี พร้อมด้วย นายหวง ไฮหนิง อายุ 29 ปี นายนายเว่ย จินเหลียน อายุ 36 ปี ชาวจีน พร้อมของกลาง รถจักรยานยนต์ยี่ห้อ ยามาฮ่า รุ่น นูโว สีน้ำเงินแดงทะเบียน วขจ-885 กรุงเทพมหานคร

พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 18 กันยายน ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) ร่วมกับสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ได้รับการประสานจากตำรวจภูธรภาค 7 ว่ามีเหตุคนต่างชาติชาวจีน เข้ามาก่อเหตุงัดเซฟภายใน บริษัท เอสทีไอ พรีซิชั่น จำกัด เลขที่ 32/3 หมู่.7 ต.พันท้ายนรสิงห์ อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ได้ทรัพย์เงินสดสกุลไทย 500,000 บาท เงินสกุลเยน (ญี่ปุ่น) 3,000,000 เยน ( 900,000 บาท ) จากนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำการตรวจสอบกล้องวงจรปิดและสืบสวนติดตามตัวคนร้ายกระทั่งสามารถจับกุมตัวได้ทั้ง 3 ราย และยังคงหลบหนีอีก 1 ราย ทราบชื่อ นาย เว่ย จินเหลียน อายุ 36 ปี จากการตรวจสอบพบว่าเคยก่อเหตุในลักษณะเดียวกันเมื่อวันที่ 8 กันยายน ที่บริษัทแฟชั่นฟู้ด จำกัด เลขที่ 105/4 หมู่ 6 ต.คลองใหม่ อ.สามพราน จ.นครปฐม โดยเหตุเกิด ได้เงินสดประมาณ 18,000 บาท และ ตู้เซฟได้รับความเสียหาย ต่อมาวันที่ 15 กันยายน ได้ก่อเหตุอีกครั้งที่ บริษัทเจวีเจ เลขที่ 254 ม.3 ต.หนองดินแดง อ.เมือง จ.นครปฐม งัดทรัพย์สินในตู้เซฟเป็นทรัพย์ที่ได้ทองรูปพรรณ หนักประมาณ 10 บาท

จากการสอบปากคำ นายฮวง ไหนิง ให้การรับสารภาพว่าก่อเหตุงัดเซฟในคดีทั้งสามท้องที่ข้างต้นจริง โดยจะนำทรัพย์สินที่ได้ไปใช้จ่ายในการเล่นการพนัน และดื่มสุรา

โดยสำหรับเส้นทางการเข้ามาในราชอาณาจักรของผู้ต้องหาผู้ต้องหาเดินทางเข้ามาประเทศไทย เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2561 ช่องทางด่านถาวรสะพานมิตรภาพไทยลาวแห่งที่ 4 เชียงราย และเดินทางหลบหนีออกนอกประเทศ ทางสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อวันที่ 18กันยายนเวลาประมาณ 12.00 น. และเดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทยอีกครั้ง เมื่อวันที่16 พฤศจิกายน จนมาถูกจับกุมตัวได้เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน

Advertisement

จากการตรวจสอบยังพบอีกว่า ที่ผ่านมามีเหตุคนจีนมณฑลกวางสีมีประมาณ 20 จะมีการจับกลุ่มเป็นแก๊งโดยจะมีกลุ่มละ 3-4 คน และร่วมก่อเหตุลักษณะนี้ในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 1,2,5,และ ภาค 6 ซึ่งทางศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) จะได้ประสานงานเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งคดีทางเจ้าหน้าที่ได้จับกุมตัวนายลี ชง เกี๊ยบ อายุ 60 ปี สัญชาติมาเลเซีย ผู้ต้องหาคดีฉ้อโกงหลบหนีเข้ามาภายในประเทศไทย

พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวว่าจากการตรวจสอบชาวต่างชาติที่อยู่เกินกําหนดอนุญาต ทั่วประเทศในรูปแบบการเอกซเรย์พื้นที่เพื่อเป็นการป้องกันชาวต่างชาติมาก่อเหตุในราชอาณาจักรไทย รวมถึงหลบหนีคดีมาซ่อนตัวในประเทศไทยด้วยเจ้าหน้าที่ตํารวจกองบังคับการสืบสวนอาชญากรรมทางเศรษฐกิจประเทศมาเลเซียได้ประสานขอความร่วมมือตํารวจตรวจคนเข้าเมืองประเทศไทยให้ช่วยติดตามและจับกุม นายลี ชง เกี๊ยบ( MR.LEE CHONG GIAP ) อายุ 60 ปีสัญชาติมาเลเซีย ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับในคดีฉ้อโกงที่ประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นการฉ้อโกงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์มูลค่าความเสียหายประมาณ 17 ล้านบาท ตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี2560 และได้เดินทางหลบหนีมายังประเทศไทย

Advertisement

พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่าหลังจากการสืบสวนติดตามตัวจนทราบว่า นายลี ชง เกี๊ยบ เดินทางเข้ามายังประเทศไทยครั้งล่าสุด ทางด่านตรวจคนเข้าเมืองสะเดา จว.สงขลา เมื่อวันที่20 ตุลาคม ได้รับการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรถึงวันที่ 18 พฤศจิกายน 2561 และหลบหนีซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ จว.ภูเก็ต จึงเข้าตรวจสอบจนพบตัวและได้ทําการเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร เนื่องจากเข้าข่ายเป็นบุคคลต้องห้ามตาม ม.12(7) พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 และควบคุมตัวเพื่อผลักดันส่งกลับยังประเทศมาเลเซีย โดยทางการมาเลเซียได้ส่ง นายยุสนีโมห์ด จามิล ผู้ช่วยทูตตํารวจสถานเอกอัครราชทูตมาเลเซียประจําประเทศไทยมาร่วมแถลงข่าวด้วย โดยยืนยันว่าผู้ต้องหารายนี้ได้หลบหนีหมายจับในคดีฉ้อโกงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์สร้างความเสียหายจํานวนมาก หลบซ่อนตัวในประเทศไทย ซึ่งผู้ต้องหารายดังกล่าวทางการมาเลเซียต้องการตัวเป็นอย่างมาก จึงขอขอบคุณรัฐบาลไทยที่สามารถจับกุมผู้ต้องหารายสําคัญรายนี้ให้แก่ทางประเทศมาเลเซียได้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image