“บิ๊กโจ๊ก”บุกโรงชำแหละไก่รวบสองแม่-ลูก เจ้าของนายทุนเงินกู้นอกระบบยึดโฉนดที่ดิน-บ้าน-เงินสด700 กว่าล้าน

เมื่อวันที่ 22 มีนาคม พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผบช.สตม.ในฐานะรองผอ.ศูนย์ปฏิบัติการป้องกันปราบปรามการฉ้อโกงทรัพย์สินของประชาชน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปฉช.ตร.) ,พล.ต.ต พนัญชัย ชื่นใจธรรม ผบก.สส.สตม. พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง ผบก.ตม.3 พล.ต.ต.ไพโรจน์ กุจิรพันธ์ ผบก.สส.ภ.4 นายพีระพัฒน์ อิงพงษ์พันธ์ เลขานุการกรม สำนักงานปปง. สนธิกำลังศปอส.ตร. ตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ปูพรมตรวจค้น 11 จุด ในพื้นที่จ.จันทบุรี และจ.ตราด ตามยุทธการ ขุดรากถอนโคนอาชญากรรม ทำบ้านเมืองให้น่าอยู่ ทวงคืนความเป็นธรรมให้ลูกหนี้เงินกู้นอกระบบ

โดยปฎิบัติการครั้งนี้เข้าตรวจค้น พื้นที่จังหวัดจันทบุรี 9 จุด พื้นที่จังหวัดตราด 2 จุด ซึ่งในพื้นที่ จ.จันทบุรี เข้าตรวจค้นบริษัทสิทธิพงษ์ไก่สด หมู่ที่ 12 ต.คลองนารายณ์ อ.เมือง จ.จันทบุรี ในส่วนพื้นที่จ.ตราด เข้าตรวจค้นร้านจำหน่ายไก่สด 2 คูหา อย่างไรก็ตามจากการตรวจค้นยึดอายัดบ้านที่ดิน อาคารพาณิชย์ โรงงาน รถยนต์ รถบรรทุก โฉนดที่ดิน 82 ไร่ สำเนาโฉนดกว่า 200 ฉบับ เงินสด 599,000 บาท รวมทรัพย์สินกว่า 778.3 ล้านบาท
ในส่วนของ นางสุรจิต กอร์ปไพบูลย์ และนายสิทธิพงษ์ หรือป้อม กอร์ปไพบูลย์ สองแม่ลูก เจ้าของโรงชำแหละไก่ในพื้นที่ต.คลองนารายณ์ ได้ติดต่อขอเข้ามอบตัวกับทางเจ้าหน้าที่หลังทราบว่าถูกออกหมายจับ ก่อนหน้านี้ โดยเบื้องต้นสอบปากคำพร้อมแจ้งข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงินหรือกระทำการใดๆ อันมีลักษณะเป็นการอำพรางให้กู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า การตรวจค้นครั้งนี้สืบเนื่องจากทางศปอส.ตร.ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนในพื้นที่ ซึ่งเป็นชาวสวนชาวไร่ในจังหวัดจันทบุรีว่าผู้ต้องหาทั้งสองรายมีพฤติกรรมปล่อยเงินกู้ในลักษณะการเรียกดอกเบี้ยที่สูงกว่าที่กฎหมายกำหนด รวมถึงการรับจำนอง และขายฝากที่ดิน อีกทั้งมีวิธีการในลักษณะฉ้อฉล โดยให้ผู้มาขอกู้ยืมเงิน ลงลายมือชื่อในเอกสารเปล่า หรือ แบบฟอร์มเอกสาร ที่ยังไม่กรอกข้อความ อีกทั้งในการปล่อยเงินกู้ของผู้ต้องหานั้น ก็จะแยกออกได้เป็น 2 กรณี คือ 1.เงินกู้รายใหญ่ ที่จำนวนเงินสูงผู้ต้องหาจะให้ผู้กู้นำที่ดินมาค้ำประกัน โดยการทำสัญญาจำนอง ขายฝาก และซื้อขาย โดยหลอกลวงว่าสามารถไถ่หรือซื้อที่ดินคืนได้ เป็นเหตุให้มีผู้หลงเชื่อนำที่ดินมาจดทะเบียนทำนิติกรรมกับนางสุรจิตกับพวกจำนวนมาก ซึ่งเมื่อประชาชนหลงเชื่อเข้าทำสัญญาแล้ว ผู้ต้องหานี้ก็จะกำหนดวงเงินไถ่คืนไว้สูงกว่ายอดเงินที่กู้ยืม มีการเก็บดอกเบี้ยล่วงหน้าขณะทำสัญญา และเก็บเรื่อยมาตลอดสัญญา มีการนำดอกเบี้ยมารวมเป็นเงินต้น คิดต้นทบดอก บางรายเมื่อครบกำหนดวันไถ่ถอน ก็จะไม่สามารถติดต่อผู้ต้องหากับพวกได้ ผู้ต้องหาจึงอ้างเหตุยึดเอาที่ดินนั้นเป็นของตนเอง

ในส่วนเงินกู้รายเล็ก ซึ่งจำนวนเงินไม่สูงผู้ต้องหาก็จะทำสัญญาเงินกู้ โดยให้ผู้กู้ลงลายมือชื่อไว้ในสัญญาเปล่า โดยไม่มีการกรอกข้อความ ระบุจำนวนเงินในสัญญา หากผู้กู้ผิดสัญญาก็จะดำเนินการฟ้องร้อง โดยระบุยอดเงินกู้ในสัญญาสูงกว่าที่กู้จริง ซึ่งการกระทำของผู้ต้องหาทั้งสองดังกล่าวข้างต้น เป็นความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงินหรือกระทำการใดๆ อันมีลักษณะเป็นการอำพรางให้กู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด” อันเป็นความผิดมูลฐานตาม พรบ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน 2542 ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ต้องหาทั้งสองทราบแล้ว รายงานข้อมูลทางคดีไปยัง ปปง.เพื่อดำเนินการตรวจสอบ ยึด อายัด ทรัพย์สิน ตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image