ทันทีที่ นายสราวุธ เบญจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ลงนามอนุมัติแต่งตั้ง พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ ผู้กำกับการ 3 กองบังคับการตำรวจสันติบาล 3 กองบัญชาการตำรวจสันติบาล (ผกก.3 บก.ส.3 บช.ส.) นายตำรวจหนุ่มวัย 43 ปี เป็น ผู้อำนวยการศูนย์รักษาความปลอดภัย สำนักงานศาลยุติธรรม หรือ ผอ.คอร์ทมาแชลคนแรก หลังเป็นเพียงผู้เดียวที่คุณสมบัติผ่าน และเป็นคนเดียวที่ได้เข้าสอบสัมภาษณ์ วัดทัศนคติ ซึ่งหลังจากนี้เป็นกระบวนการรับโอนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สู่สำนักงานศา่ลยุติธรรม
หลังได้รับการแต่งตั้ง เป็น ผอ.คอร์ทมาร์แชล คนแรกของประเทศไทย พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ ผกก.3 บก.ส.3 บช.ส. เปิดเผยกับมติชน ถึงเเรงบันดาลใจที่ทำให้มาสมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็นผู้รับโอนมารับราชการในตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์รักษาความปลอดภัยสังกัดสำนักงานศาลยุติธรรมว่า
“ตั้งเเต่สมัยที่เป็นพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ มีความรู้สึกว่ากว่าที่เราจะรวบรวมพยานหลักฐาน พอที่จะเห็นสมควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาเเต่ละรายเป็นด้วยความยากลำบาก จึงรู้สึกว่าผู้ต้องหาที่ได้กระทำผิดจริงสมควรที่จะได้รับการลงโทษตามคำพิพากษา เพื่อสังคมจะได้ไม่ยึดเป็นเเบบอย่างเเละมีความสงบเรียบร้อย เเต่พบว่าเมื่ออยู่ระหว่างการพิจารณาคดี ผู้ต้องหาที่ได้รับโอกาสในการปล่อยชั่วคราวจากศาลกลับใช้โอกาสนั้นหลบหนีไป ทำให้ผู้ต้องหาที่กระทำผิดไม่ถูกบังคับคดีตามที่ได้กระทำผิด คนไม่ดีก็ได้ลอยนวล ทำให้คนที่ก้ำกึ่งว่าจะทำดีหรือทำไม่ดี ก็กล้าที่จะทำไม่ดีได้ เราเลยรู้สึกว่าสิ่งที่เราทำมามันยังไม่มีประโยชน์สูงสุด ตรงนี้จึงเป็นจุดที่ทำให้สิ่งเราดำเนินการมามันจะสมบูรณ์”พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปิดใจ
“ตอนที่ผมเป็นพนักงานสอบสวนคุมผู้ต้องหาไปฝากขัง ก็มีภารกิจที่ต้องทำหลายเรื่อง ซึ่งตอนนั้นดูเเล้วไม่มีเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่เฉพาะที่จะช่วยดูเเลความปลอดภัยบริเวณศาล ก็รู้สึกมีความเสี่ยงอยู่ตลอดเวลา จนทราบว่าภายหลังมีการผลักดัน พ.ร.บ.เจ้าพนักงานตำรวจศาลที่มาควบคุมในเรื่องการสืบจับตามหมาย การดูเเลความปลอดภัยพื้นที่ศาลเเละอารักขาความปลอดภัยผู้พิพากษาจึงรู้สึกสนใจงานนี้ เเม้อาจจะไม่ได้เเตกต่างจากตำรวจมาก เเต่ว่ามันเเคบลงเเต่ละเอียดขึ้นเเต่ทำให้สัมฤทธิ์ผลจริงกระบวนการยุติธรรม”
“เพราะการนำผู้ต้องหามาบังคับตามคำพิพากษาคือคำตอบสุดท้ายที่จะต้องถึงตรงนี้ให้ได้ ก็เลยสนใจ ยิ่งที่บอกว่าเหมือนจั่นเจาในเปาบุ้นจิ้นก็ยิ่งเป็นเเรงบันดาลใจขึ้นไปอีก” ผู้ผ่านการคัดเลือกตำเเหน่ง ผอ.ศูนย์รักษาความปลอดภัยสังกัดสำนักงานศาลยุติธรรม ย้ำ
พ.ต.อ.สุรพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า หน้าที่ของตำรวจศาลว่าตามที่ได้ศึกษาจากร่าง พ.ร.บ.เจ้าพนักงานตำรวจศาล หน้าที่หลักจะเป็นไปตามมาตรา 5 คือ 1. สืบสวนจับกุมผู้ต้องหาหรือจำเลยที่หลบหนีการปล่อยชั่วคราวหรือคำสั่งศาลต่างๆตามหมายศาล ซึ่งเรื่องนี้ไม่เคยมีมาก่อน 2.เรื่องรักษาความปลอดภัย สถานที่บริเวณศาลต่างๆ ซึ่งเเม้เดิมจะมีอยู่เเล้วเเต่ก็มาจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั่วไปไม่ได้เป็นวิชาชีพเฉพาะ
“เเละ3.อารักขาตัวตุลาการ ซึ่งเรื่องนี้มีความจำเป็นเพราะการคัดสินคดีตุลาการจะต้องมีความเป็นอิสระไม่มีความเกรงกลัวต่ออิทธิพล ความกดดัน ตรงนี้เป็นสาระสำคัญในความเป็นธรรม โดยหลังจากที่มีการประกาศรายชื่อจากเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมเเล้ว ขั้นตอนต่อไปก็จะเป็นเรื่องของการโอนย้ายระหว่างหน่วยงาน ซึ่งตอนนี้ กฎหมายหรือร่าง พ.ร.บ.เจ้าพนักงานศาลอยู่ระหว่างนำเสนอโปรดเกล้าฯ ซึ่งกฎหมายจะมีอำนาจบังคับใช้ภายหลังจากโปรดเกล้าฯภายใน90วัน” พ.ต.อ.สุรพงศ์เผย
“ผมพอจะทราบหัวข้องานว่ามีหน้าที่อะไร เเม้ผมจะมีประสบการณ์การดูเเลรักษาความปลอดภัยสถานที่ราชการหรืองานอารักขามาก่อน เเต่งานเเต่ละสถานที่ไม่เหมือนกัน ในเชิงลึกเรายังต้องศึกษาข้อมูล ที่สำคัญถ้าผมได้รับการเเต่งตั้งมาดำรงตำเเหน่งนี้จริงผมก็จะทำการรักษาภาพลักษณ์ไม่ให้เสียชื่อเสียงของสำนักงานตำรวจเเห่งชาติ เเละ สำนักงานศาลยุติธรรมซึ่งเป็นที่เชื่อมั่นของประชาชนทั่วไป” พ.ต.อ.สุรพงศ์ กล่าวย้ำทิ้งท้าย