‘วีระกานต์’ เบิกความปากแรกสืบพยานจำเลย นปช.ก่อการร้าย-‘ตู่’ ฉะ กกต.เกินกว่าสกปรก

นัดสืบพยานจำเลย นปช.ก่อการร้ายปากเเรก “วีระกานต์” ขึ้นเบิกความ ที่มาที่ไปการชุมนุมของการชุมนุม นปช. -เหตุการณ์สลายชุมนุม “จตุพร” ฉะยับกกต.จัดการเลือกตั้งเกินคำว่าสกปรกไปเเล้ว

เมื่อวันที่ 4 เมษายน ที่ห้องพิจารณา 909 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เวลา 09.00 น. ศาลนัดสืบพยานจำเลยนัดแรก คดี 24 แกนนำ นปช. ก่อการร้ายหมายเลขดำ อ.2542/2553 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ อายุ 71 ปี อดีตประธาน นปช., นายจตุพร หรือตู่ พรหมพันธุ์ อายุ 54 ปี อดีตประธาน นปช. และผู้สนับสนุนพรรคเพื่อชาติ, นายณัฐวุฒิ หรือเต้น ใสยเกื้อ อายุ 44 ปี ประธานคณะกรรมการรณรงค์หาเสียง พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) และผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ, นพ.เหวง โตจิราการ อายุ 68 ปี ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค ทษช., นายก่อแก้ว พิกุลทอง อายุ 54 ปี สมาชิกพรรค ทษช., นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก อายุ 61 ปี, นายอริสมันต์ หรือกี้ พงศ์เรืองรอง อายุ 55 ปี อดีตแกนนำ และแนวร่วม นปช.รวม 24 คนเป็นจำเลยที่ 1- 24 ในความผิดฐานร่วมกันก่อการร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1, 135/2 , ร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา ให้ล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดินเพื่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ตามมาตรา 116, 215, 216 และร่วมกันชุมนุม ฝ่าฝืน พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 รวม 6 ข้อหา กรณีพวกจำเลย ได้ยุยงปลุกปั่นประชาชนให้เข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่ม นปช. ต่อเนื่อง ตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ. – 20 พ.ค.53 เพื่อกดดัน ต่อต้านรัฐบาล และบังคับขู่เข็ญ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีขณะนั้น ประกาศยุบสภา

ซึ่งจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา

โดยอดีตแกนนำ ส่วนใหญ่ได้รับการประกันตัว วันนี้เดินทางมาศาลตามนัด

Advertisement

โดยในวันนี้ฝั่งจำเลย นำพยานเข้าเบิกความ 3 ปากประกอบด้วย นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์, นายก่อเเก้ว พิกุลทอง, นายปกาสิต ไตรยสุนันท์ ทนายความ โดยพยานทั้ง 3 ปากเบิกความทั่วไปเกี่ยวกับสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่ม นปช.ว่ามีที่มาอย่างไร รวมทั้งเหตุการณ์ที่มีการสลายการชุมนุม โดยหลังจากพยานจำเลยเบิกความเสร็จศาลนัดสืบพยานอีกครั้งในวันที่ 5 เม.ย.

โดยพยานที่ทางฝั่งจำเลยจะนำเข้ามาเบิกความในนัดต่อไปจะเป็นจำเลยคนอื่นๆ ในคดี ส่วนเเกนนำหลักๆ เช่น นายจตุพร, นายณัฐวุฒิ เเละเเกนนำหลักจะขึ้นเบิกความในวันที่ 25 เม.ย.

โดยนายจตุพรให้สัมภาษณ์ภายหลังลงออกจากห้องพิจารณาคดีถึงกรณีการนับคะแนนบัญชีรายชื่อของ กกต. ว่า ทาง กกต.เรียกได้ว่ามั่วมาตั้งแต่ต้น ความจริงต้องศึกษาข้อกฎหมายให้เสร็จสิ้นกระบวนความก่อนที่จะมีการจัดการเลือกตั้ง ไม่ใช่ว่าเลือกตั้งเสร็จ มาควานหาว่าวิธีการคิดเป็นอย่างไร ทุกอย่างจึงนำไปสู่ความไม่น่าเชื่อถือ แม้กระทั่งข้อเสนอล่าสุดที่ว่า พรรคใดไม่ได้ ส.ส.เขตจะมาคำนวณบัญชีรายชื่อไม่ได้ นี่ก็จะเป็นปัญหาใหม่ขึ้นมา เพราะทุกคนก็ไม่เคยมีความชัดเจนในเรื่องนี้กันมาก่อน เพราะต่างเข้าใจกันว่าอยู่ที่จำนวนเสียง ตนเองเห็นว่าบ้านเมืองมาถึงจุดที่ว่า เหนือกว่าเรื่องการนับคะแนน การจัดการบัญชีรายชื่อ คือ การจัดการเลือกตั้ง ไม่เป็นไปด้วยความสุจริต และเที่ยงธรรม ตามคำขวัญของ กกต. ตนเชื่อว่ามีความจงใจให้ตัวเลขไม่เท่ากัน เพราะว่ามันไม่มีเหตุผลเป็นอย่างอื่น ในการบวกลบคูณหาร เพราะจำนวนยอดผู้มาใช้สิทธิทั้งสองครั้งที่ได้มีการแถลงข่าวในวันที่ 24 มี.ค.และ 28 มีนาคมนั้น ต่างกันถึง 4 ล้าน ตนไม่เชื่อว่า กกต.จะผิดพลาดถึงขนาดนั้น จึงขอตั้งข้อสงสัยว่าเป็นความตั้งใจวางประเด็นกันไว้หรือไม่ รวมถึงประเด็นเรื่อง บัตรดี กับคะแนนพรรคการเมืองห่างกันถึงสองล้าน ตนว่าเรื่องราวเหล่านี้เป็นปัญหาที่จะต้อง คิดกันต่อว่า กกต.ทำไปเพื่ออะไร ตัวเลขให้เท่ากันสองยอดไม่ใช่เรื่องที่ยาก แต่เหมือนกับจงใจให้ตัวเลขสองยอดไม่เท่ากัน ซึ่งก็ต้องคิดกันต่อว่าทำไปเพื่ออะไร ที่มากกว่าเรื่องบัญชีรายชื่อคือ การเลือกตั้งทั้งระบบมันหมดความน่าเชื่อถือไปแล้ว

Advertisement

“ความจริงการนับคะแนนต้องมีการถ่ายภาพกระดานที่เขานับ ไม่ใช่ว่าแค่ส่งเข้าแอพพ์เป็นตัวเลขยอดคะแนน ซึ่งคะแนนมันหายแบบผิดสังเกต หลากหลายเรื่องราวมาก ยกตัวอย่างเช่น ครอบครัวหนึ่ง ไปเลือกตั้ง 7 คน แต่พอมาดูการนับคะแนน ในจุดเลือกตั้งนั้น พรรคที่เลือกกลับไม่ได้สักคะแนนเดียว เป็นต้น แต่เรื่องเหล่านี้ก็เป็นเรื่องเล็ก เพราะเรื่องใหญ่ก็คือว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ คนมีความสงสัยกันทั้งหมด ตนจึงได้บอกว่ามันเกินคำว่าสกปรกไปแล้ว ปัญหาก็คือ จะเรียกศรัทธาความเชื่อมั่นกลับมาอย่างไร เพราะฉะนั้น การนับคะแนนเรื่องบัญชีรายชื่อ จะนับอย่างไรก็ตามสบาย แต่ว่ามันหมดความน่าเชื่อถือกันไปหมดแล้ว “ ประธาน นปช.กล่าว

นายจตุพรยังกล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ.ออกมาให้สัมภาษณ์เรื่องมีกลุ่มเเนวความคิดขวาจัด ว่า เรื่องซ้ายขวา ในประเทศไทย มันผ่านกันมายาวนาน ในรั้วมหาวิทยาลัยสมัยก่อน ก็เป็นเรื่องระหว่างฝ่ายซ้ายกับฝ่ายขวา จนมาถึงยุคๆ หนึ่ง ก็มาถึงคำว่า เบื่อซ้าย หน่ายขวา ปัจจุบันนี้สิ่งที่จะต้องคิดคือว่า จะเดินทางอย่างไรให้บ้านเมืองเดินหน้าไปรอดได้ ตนคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ เพราะกว่า 5 ปี คนไทยเดือดร้อนกันจริงๆ เรื่องนี้ทุกคนควรจะหาคำตอบ เพียงแต่การเลือกตั้งมันไม่ใช่ทางออก แต่มันเป็นปัญหาใหม่ที่เกิดขึ้นมาแล้ว แม้กระทั่งสามารถเคลียร์ได้ ตอบได้ทุกข้อสงสัย ตัวเลขก็ไปไม่ได้อยู่ดี

“อย่างที่ผมเคยอธิบายว่า แจกใบแดง เหลือง ส้ม ดำ ขาว ตัวเลขก็จะไม่เปลี่ยน เพราะคนเลือกเป็นซีกกันไปแล้ว แต่ก็มีอีกหลายๆ อย่าง เช่น การรับรองไม่ครบตามจำนวน เพราะกฎหมายให้รับรอง 95% ถ้าเว้นไว้ 5% ก็เท่ากับ 25 เขต ตัวเลขก็เป็นจำนวนมาก ก็ส่งผล แต่อย่างไรประเทศก็ไปไม่ได้อยู่ดี ตนว่า ณ ขณะนี้ เอาเรื่อง กกต.ก่อน ทำให้คนไทยสบายใจเสียก่อน ส่วนเรื่องอื่นค่อยมาคิดกัน ส่วนเรื่องการนับคะแนนปาร์ตี้ลิสต์อย่างไรก็เอาที่สบายใจ”

ส่วนกรณีมีการเรียกร้องให้เปิดเผยผลคะแนนดิบว่า จากตัวเลขที่ไม่เท่ากัน ก็เป็นการอธิบายแล้วว่าจะไม่มีการเปิดตัวเลขคะแนนดิบกัน แม้ว่าเวลาผ่านมาเนิ่นนานหลังจากการเลือกตั้งแล้วก็ตาม ตนเชื่อว่าเรื่องนี้จะไม่มีการเปิด แม้ความจริงควรจะต้องเปิด เพราะคนเขาจะได้รู้ว่าใครเลือกใคร แต่ตนเชื่อว่า สถานการณ์แบบนี้ ไม่มีใครยอมที่จะให้เปิด ซึ่งก็จะยิ่งสร้างความน่าสงสัยมากยิ่งขึ้น ซึ่งก็จะไม่เป็นประโยชน์กับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเลย การเลือกตั้งควรจะเป็นความโปร่งใส สุจริต เที่ยงธรรม สบายใจกันทุกฝ่าย ทั้งผู้แพ้ และผู้ชนะ และผู้เลือกคือประชาชน ดังนั้น ตนคิดว่า ถ้าสุจริต โปร่งใส กกต.ก็ควรเปิดเผยตัวเลขคะแนนดิบแต่ละเขต เพราะข้อเรียกร้องที่มีการเรียกร้องอยู่ในขณะนี้ คือ การเรียกร้องให้เปิดเผยความจริง ถ้ามันเป็นความจริงแล้วก็ไม่ควรจะปกปิด แต่ตนเชื่อว่า ลีลาแบบนี้จะไม่ยอมเปิด

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image