‘ม.ล.ปนัดดา’แนะบุคลากรทางการศึกษา ยึดหลักการทรงงานพระมหากษัตริย์ไทย เป็นแนวทางปฏิบัติ เพื่อสร้างสังคมคนรุ่นใหม่ให้เป็นสังคมที่ดี
หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อพบปะเยี่ยมเยียนนักเรียนนักศึกษา และบุคลากรทางการศึกษา ของวิทยาลัยเทคนิคพระนครศรีอยุธยา พร้อมทั้ง เป็นวิทยากรบรรยายพิเศษ เรื่อง “พระมหากษัตริย์ พ่อของแผ่นดิน และการเป็นคนไทยที่ดีตามรอยพระยุคลบาท” ตามโครงการการเรียนรู้ตามรอยพระยุคลบาท ที่ อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 28 เมษายน
หม่อมหลวงปนัดดา กล่าวว่า กิจกรรมในครั้งนี้ เป็นการส่งเสริมให้นักศึกษาและบุคลากรทางการศึกษา ได้เรียนรู้และเข้าใจถึงความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีต่อประเทศไทย พร้อมทั้งตระหนักและนำหลักการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 มาเป็นพื้นฐานในการเรียนและการพัฒนาตนเอง ตลอดจนให้บุคลากรทางการศึกษาได้ผนึกกำลังกัน เพื่อเสริมสร้างอุดมการณ์และพัฒนาบุคลากรคนรุ่นใหม่ให้เป็นคนดี มีความซื่อสัตย์สุจริต เป็นสุภาพชน เกิดเป็นสังคมที่มีคุณธรรมจริยธรรม มีจิตสาธารณะ ปราศจากการประพฤติผิดมิชอบในวงการต่างๆ ส่งผลให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่มีความใสสะอาด และอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
”เป็นเรื่องแรกเริ่มจากสำนักงานก.พ. และ มูลนิธิประเทศไทยใสสะอาด ที่อยากจะแลเห็นลูกหลานเยาวชน เป็นทรัพยากรบุคคลที่ทรงคุณค่า มีระเบียบ มีความรับผิดชอบ ของประเทศชาติสืบไปในวันข้างหน้า จะดีได้ก็ต่อเมื่อคนในสังคมต้องช่วยกันเสริมสร้างต้นแบบ หรือว่า ‘แบบอย่างที่ยั่งยืน’ ให้เกิดขึ้นกับเด็กๆ ซึ่งลูกหลานและเยาวชนต่างพร้อมที่จะปฏิบัติกันอยู่แล้ว หากสังคมมีต้นแบบที่ถูกต้องเหมาะสม ก็อยากจะเห็นพัฒนาการในเรื่องนี้ เพราะว่า เด็กในวันนี้ก็คือผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า อนาคตของประเทศไทย ผู้ใหญ่ต้องไม่มาทำลายล้างความสง่างามของชาติ ขัดแย้ง แบ่งแยก หรือเป็นแบบอย่างที่ปราศจากความถูกต้องเสียเอง”
หม่อมหลวงปนัดดา กล่าวอีกว่า “ทุกภาคส่วน ล้วนต่างเข้าใจดีว่า พระมหากษัตริย์ทรงเป็นดวงใจของคนไทยทั้งชาติ ดังนั้น การที่เราทุกคนจะช่วยกันร่วมน้อมนำพระราชปณิธาน พระบรมราโชวาท และคำสอนแห่งชีวิตตามพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัขกาลที่ 9 และ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มาสู่การปฏิบัติจริง ก็จะเป็นการเพิ่มพูนศักยภาพของสังคมและคนในชาติ ให้เกิดความมั่นคงอย่างชัดเจนและยั่งยืนต่อไปได้ในอนาคต”
