เจ้าของโรงงานยางรถยนต์ร้องกองปราบฯ ถูกขรก.มีสีเรือนร้อยบุกค้นแถมยัดข้อหานายทุนเงินกู้

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 23 กรกฎาคม ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นายอนันต์ชัย ไชยเดช พร้อมนายประเสริฐ พิมพาพร อายุ 75 ปี เข้าพบ พ.ต.ต.ธีรพจน์ คงหนู สว.สอบสวน กก.5 บก.ป. เพื่อแจ้งความต่อ น.ส.เอ (นามสมมุติ) เจ้าหน้าที่ กอ.รมน., กรมทหารสื่อสารที่ 1 ค่ายกำแพงเพชรอัครโยธิน, ตม.จ.สมุทรสาคร, ตำรวจภูธรเมืองสมุทรสาคร, สำนักงานจัดหางาน จ.สมุทรสาคร, การปกครองจังหวัดสมุทรสาคร กรณีเข้าบุกค้นห้างหุ้นจำกัดพี.เอส.โอ.อิมปอร์ต (ไทยแลนด์) โกดังเก็บยางรถยนต์ของนายประเสริฐ เลขที่ 28/38 หมู่ 5 ตำบลคอกกระบือ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร เป็นโดยกล่าวหาว่า นายประเสริฐ เป็นนายทุนนอกระบบและคิดดอกเบี้ยเกินกฎหมายกำหนด

นายอนันต์ชัยกล่าวว่า เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคมที่ผ่านมา มีเจ้าหน้าที่ทหาร เจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้อง ประมาณ 100 คน เข้าค้นโรงงานเก็บยางรถยนต์ของนายประเสริฐ โดยอ้างมีรายงานแจ้งว่า ภายในโรงงานมีแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย 1 คน ระหว่างนั้นได้คุมตัวนายประเสริฐ ไว้ในห้องทำงานและบังคับให้เปิดตู้เซฟ พร้อมทั้งยึดโฉนดที่ดิน ทั้งหมด 52 ฉบับ ก่อนข่มขู่ว่า ให้ทำบันทึกการยินยอมให้ตรวจยึด หากไม่ยอมให้ยึดโฉนดที่ดินจะนำตัวนายประเสริฐไปฝากขังเป็นเวลา 7 วัน นายประเสริฐจึงยินยอม

นายอนันต์ชัยกล่าวต่อ ขณะเข้าตรวจค้น ตำรวจได้แสดงหมายจับนายประเสริฐ ตามหมายจับศาลจังหวัดหัวหิน ที่ 129/2562 ลงวันที่ 6 กรกฎาคม 2562 ข้อหา “ให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงินเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา ประกอบกิจการสินเชื่อรายย่อยเพื่อประกอบอาชีพ (การให้กู้ยืม) โดยไม่ได้รับอนุญาต” โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจรายหนึ่ง กล่าวว่า น.ส.เอ ที่เป็นผู้กู้ยืมเงินนายประเสริฐ เป็นคนแจ้งความ พร้อมขอเจรจาไกล่เกลี่ยให้นายประเสริฐ ลดยอดหนี้และลดดอกเบี้ยให้ น.ส.เอ โดยไม่จับกุมนายประเสริฐ ตามหมายจับดังกล่าว ซึ่งถือว่ามีความผิดฐานปล่อยปละละเลยในการปฏิบัติหน้าที่

นายอนันต์ชัยกล่าวอีกว่า ตำรวจยังสั่งให้นายประเสริฐไปพบกับ น.ส.เอ ในวันที่ 12 กรกฎาคม ที่ศูนย์ดำรงธรรม จ.สมุทรสาคร เพื่อไปทำบันทึกข้อตกลงให้ลดยอดหนี้ ลดดอกเบี้ย และถอนคำฟ้องทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา โดยต้องไปคนเดียวและห้ามนำทนายไปด้วยเด็ดขาด ด้วยความกลัวนายประเสริฐยอมทำตามข้อตกลง ในวันนี้จึงจะแจ้งความเอาผิดกับ น.ส.เอ และเจ้าหน้าที่รัฐ รวม ทั้งหมด 29 คน ฐาน “แจ้งความเท็จ , เป็นผู้ใช้ให้พนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด, เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ, ร่วมกันบุกรุกเคหสถาน, ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังทำให้เสื่อมเสียอิสรภาพ, ร่วมทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัว หรือตกใจ โดยขู่เข็ญ ร่วมกันกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการรังแก ข่มเหง คุกคาม หรือทำให้ได้รับความอับอายหรือเดือดร้อนรำคาญ”

Advertisement

นายประเสริฐกล่าวว่า เมื่อปี 2559 น.ส.เอ ชักชวนให้ตนร่วมลงทุนซื้อที่ดิน เพื่อทำหมู่บ้านจัดสรร โดยตนได้ให้เงินกับ น.ส.เอ ไปทั้งหมด 15 ล้านบาท พร้อมทำสัญญาเงินกู้ไว้เป็นหลักฐาน และคิดดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี โดยจะได้ผลตอบแทนจากการลงทุน 6 แสนบาท ซึ่งไม่ใช่ดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ที่ผ่านมา น.ส.เอ ได้เรียกร้องให้ตนโอนที่ดินกล่าวให้ แต่ตนมองว่า โฉนดที่ดินและเงินลงทุนเป็นของตน จึงไม่ได้ทำตามข้อเรียกร้อง ซึ่งยอมรับว่า หลังจากเกิดเหตุ ธุรกิจได้รับความเสียหายและเสื่อมเสียชื่อเสียง เนื่องจากลูกค้ามองว่า ตนเป็นบุคคลที่ปล่อยเงินกู้และมีคดีความติดตัว จึงไม่กล้ามาทำการซื้อขายด้วย สำหรับแรงงานต่างด้าวนั้น ไม่ได้อยู่ในความดูแลของตน โดยแรงงานต่างด้าวดังกล่าวได้เคยมาขอสมัครงานกับตนแล้ว 3 ครั้ง แต่ไม่ได้รับเข้าทำงานแต่อย่างใด

เบื้องต้นพนักงานสอบสวน ได้ประสานไปยังกองบังคับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ(บก.ปปป.) เพื่อรับไปตรวจสอบต่อไป

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image