ศาลนัดพิพากษา “โอ๊ค”ฟอกเงิน ปล่อยกู้กรุงไทย 25 พ.ย.นี้

เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 26 กันยายน ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถ.นครไชยศรี ไต่สวนพยานนัดสุดท้าย คดีฟอกเงินกู้แบงก์กรุงไทย อท.245/2561 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายพานทองแท้ หรือโอ๊ค ชินวัตร อายุ 40 ปี บุตรชายคนโตของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน และสมคบคบกันฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 5 , 9 , 60 และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2558 มาตรา 10 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และ 91 

โดยอัยการยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 10 ต.ค.61 จากกรณี นายพานทองแท้รับโอนเงินเป็นเช็คจำนวน 10 ล้านบาทเข้าบัญชี ซึ่งมีการกล่าวหาว่าเงินนั้น เป็นส่วนหนึ่งของการกระทำจากการทุจริตปล่อยกู้สินเชื่อระหว่างธนาคารกรุงไทยฯ กับเอกชนกลุ่มกฤษดามหานคร ที่มีนายวิชัย กฤษดาธานนท์ อายุ 80 ปี ผู้บริหารกฤษดามหานคร กับนายรัชฎา กฤษดาธานนท์ อายุ 53 ปี ซึ่งเป็นบุตรชายของนายวิชัย และอดีตคณะผู้บริหารธนาคารกรุงไทย ตกเป็นจำเลยในคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วให้จำคุกนายวิชัยและนายรัชฎา บุตรชายคนละ 12 ปีร่วมกับพวก โดยในส่วนของนายวิชัย , นายรัชฎา บุตรชาย และกลุ่มอดีตกรรมการบริษัทเอกชนในเครือกฤษดา รวม 6 คนนั้น ก็ถูกอัยการ ยื่นฟ้องความผิดฟอกเงินการทุจริตปล่อยกู้ดังกล่าวต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบเช่นกันด้วย 

โดยชั้นศาล นายพานทองแท้ จำเลย ก็ให้การปฏิเสธสู้คดีว่าไม่ได้กระทำผิดตามฟ้อง ซึ่งเงินดังกล่าวเป็นที่ได้ร่วมลงทุนกับนายรัชฎา บุตรชายของนายวิชัย อดีตผู้บริหารกฤษดามหานคร

ขณะที่คดีนี้ศาลนัดไต่สวนพยาน3นัด คือ 24,25และ 26 ก.ย.ซึ่งวันที่ 24และ25ได้ไต่สวนพยานไปแล้ว 4 ปาก ซึ่งเป็นพยานโจกท์และพยานที่โจทก์และจำเลยอ้างร่วมกัน

Advertisement

โดยวันนี้เป็นการไต่สวนพยานฝ่ายจำเลย ซึ่งนายพานทองแท้ ได้ขึ้นเบิกความด้วยตนเองเพียงปากเดียว เกี่ยวกับการวางแผนที่จะดำเนินธุรกิจนำเข้ารถรภยนต์ซุปเปอร์คาร์ ทีจะมีนายรัชดา บุตรชายวิชัย ผู้บริหารเครือกฤษดามหานครร่วมด้วยว่า แนวคิดดังกล่าวตนเป็นผู้คิดเอง มาตั้งแต่ช่วงปี 2547 จากที่ได้มีการพูดคุยในกลุ่มเพื่อน 5-6 คน โดยหลังจากพูดคุยกันแบบไม่เป็นทางการแล้ว ในวันรุ่งขึ้น นายรัชดาได้โทรศัพท์มาพูดคุยกับจำเลย ว่าจะขอร่วมลงทุนด้วย โดยเหตุที่นายรัชดาเร่งโทรมาคุย เพราะกังวลว่าจำเลยจะลืมชักชวนนายรัชดาในการลงทุนด้วย ซึ่งแนวคิดขณะนั้นคิดไว้เพียงว่าการลงทุนน่าจะต้องใช้เงินลงทุนคนละ 20ล้านบาท เนื่องจากมูลค่ารถซุปเปอร์คาร์นั้นต่อคันจะตกอยู่ที่ 20ล้านบาทขึ้นไป โดยช่วงนั้นที่ยังไม่มีบุคคลอื่นมาร่วมเสนอลงทุนด้วยจำเลยก็ไม่ทราบเหตุผล

โดยการจะดำเนินธุรกิจดังกล่าวนั้น ตนได้ให้ นายเฉลิม แผลงศร ซึ่งเป็นกรรมการผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน(CFO)ที่ดูแลเรื่องการเงินทุกบริษัทของจำเลยไปศึกษาความเป็นไปได้ของธุรกิจดังกล่าว ซึ่งเหตุที่แม้นายเฉลิมจะไม่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับธุรกิจรถยนต์ซุปเปอร์คาร์แต่ที่จำเลยมอบหมายงานให้ศึกษาเพราะเป็นผู้ที่จำเลยให้ความไว้วางใจในเรื่องที่ได้ดูแลเรื่องการเงินบริษัทและเงินส่วนตัว รวมทั้งธุรกิจของจำเลยด้วย โดยสุดท้ายธุรกิจนี้ไม่ได้ดำเนินไป ซึ่งยุติลงในชั้นของการศึกษาแนวทางก็เพราะนายเฉลิม ได้แจ้งผลการศึกษาการดำเนินธุรกิจนี้ให้กับจำเลยทราบว่ามีความเป็นไปได้ยาก และจะไม่คุ้มเงินลงทุนทางธุรกิจส่วนที่นายรัชดาโอนเงิน 10ล้านบาทให้จำเลย ที่จะมาร่วมลงทุนโดยเป็นเช็คชื่อนายวิชัยนั้นจำเลยไม่ทราบเหตุผล 

นอกจากนี้จำเลยยังได้ตอบคำถามศาลเกี่ยวกับธุรกิจของครอบครัวและของตัวจำเลยรวมทั้งความใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างตัวจำเลยกับนายเฉลิมและระหว่างตัวจำเลยกับนายรัชดาและนายวิชัย ว่าในครอบครัวของจำเลยมีบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการเมืองคือ นายทักษิณ บิดา,นางสาวยิ่งลักษณ์ อาของจำเลย ซึ่งทั้งสองเคยเป็นนายกรัฐมนตรีและลูกพี่ลูกน้องที่เป็น ส.ส.ส่วนตัวจำเลยไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมือง โดยปัจจุปันจำเลยประกอบธุรกิจส่วนตัว ซึ่งมีอยู่ 7 กิจการ อาทิ บ.ว๊อยซ์ทีวี,บ.ฮาวคัม ฯโดยจำเลยมีรายได้1ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งในจำนวนนั้น 4แสนบาท เป็นค่าตอบแทนที่ได้จากธุรกิจว๊อยซ์ทีวีที่เหลือเป็นเงินปันผลจากหุ้นบริษัทต่างๆ ซึ่งจำเลยจะมีค่าใช้จ่าย 4-5แสนบาทต่อเดือน ส่วนธุรกิจของครอบครัวปัจจุปันมีประมาณ 7 กิจการ เช่น โรงแรมโรสวูด แบงค์คอก กับสนามกอล์ฟอัลไพน์ ซึ่งบางกิจการจำเลยก็มีหุ้นอยู่ด้วย และกับใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างตัวจำเลยกับนายรัชดา รู้จักมาตั้งแต่อายุ21 ปีและเคยไปหานายรัชดาที่บ้าน ซึ่งอยู่ในพื้นบริเวณเดียวกันกับบ้านของนายวิชัยแต่เป็นคนละหลัง โดยจำเลยไม่เคยไปพบนายวิชัยที่บ้าน 

ทั้งนี้นายพานทองแท้ ยังตอบคำถามศาลด้วยว่า ระหว่างการถูกดำเนินคดีจำเลยได้ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมกับ3หน่วยงาน ซึ่งได้กล่าวถึงประเด็นการเมืองที่เชื่อว่าถูกกลั่นแกล้งแต่ไม่ทราบเหตุผลที่ชัดเจน เพื่อให้หน่วยงานได้ตรวจสอบโดยมี2หน่วยงานทีแจ้งกลับมาว่าจะทำการตรวจสอบให้คือ สำนักงานอัยการสูงสุดและกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือ ดีเอสไอ โดยจำเลยยืนยันว่าจำเลยไม่รู้จักหรือมีสาเหตุโกรธเคืองใดๆเป็นการส่วนตัวกับพนักงานสอบสวนที่ทำคดีนี้ 

Advertisement

ภายหลัง นายพานทองแท้ เบิกความตอบคำถามศาล ,อัยการโจทก์และทนายความจำเลยเสร็จสิ้นแล้วในเวลา 12.45น. ศาลเห็นว่าได้ไต่สวนพยานครบถ้วนเพียงพอที่จะวินิจฉัยคดีได้แล้วจึงนัดฟังคำพิพากษาคดีนี้ตามกำหนดเดิม คือวันที่ 25 พ.ย.นี้เวลา 10.00 น.โดยให้คู่ความทั้งสองฝ่ายยื่นคำแถลงปิดคดีภายใน 30 วัน นับจากวันนี้หากไม่ยื่นภายในกำหนดจะถือว่าไม่ติดใจ 

นายพานทองแท้ กล่าวภายหลังศาลนัดไต่สวน คดีที่พนักงานอัยการสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 4 เป็น โจทก์ยื่นฟ้องนายพานทองแท้ ชินวัตร ฐานร่วมกันฟอกเงิน และสมคบกันฟอกเงิน ว่าวันนี้ตนไม่ได้เครียดอะไรมาก แต่ตื่นเต้นเป็นพิเศษ เพราะถือว่าเป็นการเข้าไต่สวนเป็นครั้งแรก บรรยากาศในห้องพิจารณาไม่เครียด ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี ไม่มีอะไรต้องกังวล เพราะพูดทุกอย่างตามความจริง วันนี้ตนเองได้ให้คำตอบกับศาลไปอย่างชัดเจน ในทุกข้อซักถาม แต่ก็ไม่ทราบว่าจะชัดพอไหม

นายพานทองแท้ ยังกล่าวอีกว่า มีความคาดหวัง สิ่งที่พูดไปกับศาลวันนี้ จะทำให้ผลการตัดสินจะออกไปในทิศทางที่ดี ซึ่งหลังจากเสร็จขึ้นศาลวันนี้ ตนเองจะไปทำบุญ เพื่อความเป็นสิริมงคล และจะกลับมาฟังคำตัดสินอีกครั้งในวันที่ 25 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งตนเองจะเดินทางมาตัดสินด้วยตนเอง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image