ศาลสั่งจำคุก 6 เดือนส่ง “เสี่ยท็อป” เข้าเรือนจำ

เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม ที่ศาลแขวงพระนครเหนือ ถ.รัชดาภิเษก พนักงานสอบสวน สน.ดอนเมือง คุมตัวนายธนณัฎฐ์ สิริปิยพร หรือเสี่ยท็อป อายุ 49 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับระหว่างพิจารณาศาลแขวงพระนครเหนือ คดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.8062/2558 คดีหมายเลขแดงที่ อ.9319/2559 ข้อหากระทำความผิดฐานพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค จากนั้นไม่มาฟังคำพิพากษาของศาลในปี พ.ศ.2559 เดินทางมาศาลซึ่งคำร้องพฤติการณ์ ระบุว่า เมื่อวันที่ 29 พ.ค. 2557 น.ส.สุภาพรณ์ อัมภาพันธุ์กิจ เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสน.บางซื่อ ในคดีออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย โดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น โดย น.ส.สุภาพรณ์ได้รับการติดต่อจากนายธนณัฏฐ์ เพื่อที่จะขอซื้อคลินิกเสริมความงามชื่อไอซิสคลินิก ที่ น.ส.สุภาพรณ์เป็นเจ้าของ โดยพูดสร้างความน่าเชื่อถือ พูดจาหว่านล้อมต่างๆ จนทำให้ น.ส.สุภาพรณ์ตัดสินใจขายคลินิกให้แก่นายธนณัฏฐ์ ในราคา 8 ล้าน 5 แสนบาท
โดยที่นายธนณัฏฐ์สั่งจ่ายเช็คให้ น.ส.สุภาพรณ์ ในราคา 8 ล้าน 5 แสนบาท แต่หลังจากที่ น.ส.สุภาพรณ์นำเช็คไปขึ้นเงิน ธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน และหลังจากนั้นนายธนณัฏฐ์ได้นำชื่อคลินิกไปใช้ในการแอบอ้างหลอกลวงผู้อื่นในทางเสียหาย จนทำให้คลินิกของ น.ส.สุภาพรณ์ เสียชื่อเสียงเป็นอย่างมาก น.ส.สุภาพรณ์จึงดำเนินคดีนายธนณัฏฐ์ให้ถึงที่สุดเพื่อให้หยุดพฤติกรรมดังกล่าว หลังจากที่ศาลได้นัดฟังคำพิพากษา นายธนณัฏฐ์ได้หลบหนีไม่มาขึ้นศาล ศาลแขวงพระนครเหนือจึงออกหมายจับลงวันที่ 14 พ.ย. 2559

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าว่าที่ร้อยตรี ดร.นายสุรพล สินธุนาวา ทนายความ ของเสี่ยท็อป เดินทางมายังศาลแขวงพระนครเหนือพร้อมเปิดเผยว่าเตรียมหลักทรัพย์จำนวน 3 แสนบาท เพื่อใช้ในการประกันตัวส่วนขั้นตอนขณะนี้ที่ศาลอยู่ระหว่างรอศาลพิจารณาคดี โดยภายหลังจากที่พนักงานสอบสวนควบคุมตัวนายธนณัฏฐ์ ไปยังศาลเเขวงพระนครเหนือ ว่าที่ร้อยตรี ดร.สุรพล เปิดเผยถึงคดีที่ทำให้ เสี่ยท็อป ถูกจับกุม ว่า เมื่อปี 2559 เสี่ยท็อปตกลงกับคู่ค้า จะลงทุนทำธุรกิจเสริมความวงเงิน 8 ล้าน ต่อรองลงมาเหลือ 4.5 ล้าน และ ตกลงกัน ล่าสุดเหลือ 1 ล้านบาท โดยเสี่ยท็อป จ่ายเป็นเช็คให้ แต่เช็คไม่สามารถ ขึ้นเงินได้ หรือ เช็คเด้ง ทำให้ คู่กรณีมาฟ้องร้อง เสี่ยท็อป ต่อศาลแขวงพระนครเหนือ มารดาของเสี่ยท็อป จึงได้นำโฉนดที่ดิน ที่ลำลูกกาคลอง 4 มาวางไว้เพื่อเป็นหลักค้ำประกัน ว่า จะนำเงินมาชดใช้ให้ ในภายหลัง ซึ่งขณะนี้ โฉนดที่ดิน ก็ยังอยู่กับคู่กรณี และยังไม่มีการเซ็นโอนที่ดินให้กันแต่อย่างใด

เมื่อถึงวันฟังคำพิพากษา ในวันที่ 14 พ.ย.2559 เสี่ยท็อป กลับไม่มาฟังคำพิพากษา และไม่อ้างเหตุแห้งความจำเป็น โดยอ้างว่าเพียงว่า ติดภารกิจที่ต่างประเทศ ศาลจึงอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลยสั่งจำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์ แก้การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยไว้ 6 เดือน โดยไม่รอลงอาญา พร้อมกับให้ออกหมายจับ จำเลยไว้ จากนั้นเสี่ยท็อป ไม่ได้ยื่นอุทธรณ์ตามระยะเวลา ที่กฎหมายกำหนด ทำให้ขาดอุทธรณ์ และทำให้คดีถึงที่สุดแล้ว หลังจากตำรวจ ติดตาม จับกุมตัวเสี่ยท็อปได้จึงนำส่งศาล ศาลแจ้งผลคำพิพากษา ให้เสี่ยท็อป ทราบว่า คดีนี้ ถึงที่สุดแล้ว และให้รับโทษตามคำพิพากษาคือ จำคุก 6 เดือน จึงต้องส่งตัวไปคุมขังที่ เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร โดยญาติจะไปเยี่ยมเสี่ยท็อป ที่เรือนจำฯ ในช่วงบ่ายนี้

ทนายความ ยังระบุด้วยว่า ตัวเสี่ยท็อป เองอ้างว่ามีความกังวลเรื่องของสุขภาพ เนื่องจากเป็นโรคเบาหวาน และกังวลเรื่องเงินจากการทำธุรกิจที่จะได้รับประมาณ 1,000 ล้านบาท แต่ยังไม่ทราบรายละเอียดว่าเป็นธุรกิจ ด้านไหน และเกี่ยวกับเรื่องอะไร

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image