ศาลฎีกาไม่รับฎีกาทบ.ยังไม่ยอมจ่ายค่าเสียหายชดใช้แม่สิบโทกิตติกร คดีถูกซ้อมทรมานดับคาคุกทหาร

นางบุญเรือง สุธีรพันธุ์ มารดา ส.ท.กิตติกร สุธีรพันธุ์

ศาลฎีกาไม่รับฎีกากองทัพบกยังไม่ยอมจ่ายค่าเสียหายชดใช้แม่สิบโทกิตติกร คดีถูกซ้อมทรมานตายเรือนจำทหาร สิ้นสุดชั้นอุทธรณ์ จ่าย 1.87 ล้านพร้อมดอกเบี้ย

เมื่อวันที่ 17 มกราคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 16 ม.ค.ที่ผ่านมา ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขดำที่ พ.1131/2560 คดีหมายเลขแดงที่ พ.858/2561 ที่ นาง บุญเรือง สุธีรพันธุ์ มารดาสิบโทกิตติกร สุธีรพันธ์ ฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งต่อกองทัพบกให้รับผิดกรณีละเมิดเป็นเหตุให้ สิบโทกิตติกร จนเสียชีวิต จากเหตุการณ์สิบเวรหรือผู้คุมเรือนจำมณฑลทหารบกที่ 25 (มทบ.25) กับพวกร่วมกันทำร้ายร่างกายสิบโทกิตติกร เสียชีวิตในเรือนจำทหาร จ.สุรินทร์ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 20 ก.พ.59

โดยคดีนี้ ศาลชั้นต้นพิเคราะห์เเล้วเห็นว่า ขณะที่สิบโทกิตติกร ถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำมณฑลทหารบกที่ 25 สิบโทกิตติกรถูกพลอาสาสมัคร ชูเกียรติ นันทะพันธ์ ตำแหน่งพลสารวัตรร้อย ส.ห. มทบ.25’ชรก.รจ.มทบ.25ทำหน้าที่ผู้คุมพิเศษปฏิบัติหน้าที่นายสิบเวรเรือนจำมณฑลทหารบกที่ 25 ร่วมกับ พลทหาร นลธวัช ใจมนต์ พลทหารยุทธพิชัย เสนพาท และ พลทหาร จีระศักดิ์ สิทธิศร ทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย การตายของสิบโทกิตติกร จึงเกิดจากการจงใจกระทำ(ละเมิด) ปฏิบัติหน้าที่ จำเลยรับผิดต่อโจทก์ในผลแห่งละเมิดที่ พลอาสาสมัคร ชูเกียรติได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ ตามพรบ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ 2539 มาตรา5 วรรคหนึ่ง ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวหาได้บัญญัติให้หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดร่วมกับเจ้าหน้าที่ของตนซึ่งเป็นผู้กระทำละเมิด ดังเช่นในฐานะนายจ้างกับลูกจ้างไม่ จึงไม่อาจนำกำหนดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 448 วรรคหนึ่ง มาใช้บังคับแก่กรณีนี้ได้ และเนื่องจากตาม พรบ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่พ.ศ.39 มิได้บัญญัติอายุความฟ้องร้องหน่วยงานของรัฐไว้ โดยเฉพาะจึงต้องนำกำหนดอายุความ 10ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/30 มาใช้บังคับ ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 1,870,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 21ก.พ.2559 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์กับให้จำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 30,000 บาท

Advertisement

คดีนี้ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้กองทัพบกชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นค่าจัดการศพและค่าขาดไร้อุปการะ รวมเป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน 1,870,000 บาท แก่ บุญเรือง สุธีรพันธุ์ มารดาสิบโทกิตติกร

ต่อมา กองทัพบกโจทก์ยังยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาพร้อมยื่นฎีกาคัดค้านคำพิพากษาของศาล

โดยศาลฎีกาแผนกคดีคำสั่งคำร้องและขออนุญาตฎีกาในศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วเห็นว่าฎีกาของโจทก์ไม่เป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัยตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 เพราะพิจารณาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้วไม่อาจมีผลเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญในคำพิพากษาของศาลอุทรจึงมีคำสั่งไม่รู้ญาติให้ฎีกายกคำร้องและไม่รับฎีกาของโจทก์

Advertisement

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการตายของสิบโท กิตติกรนั้น ศาลจังหวัดสุรินทร์ได้เคยมีคำสั่งไต่สวนการตายเป็นคดีหมายเลขดำที่ ช.1/2559 แล้วมีคำสั่งเมื่อวันที่ 26 ก.ค.59 ว่าผู้ตายถูกพลอาสาสมัครซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้คุมเรือนจำกับพวกรวม 4 คน ทำร้ายสิบโทกิตติกร มีอาการบาดเจ็บที่ศีรษะอย่างรุนแรงร่วมกับกระเพาะอาหารแตก จนถึงแก่ความตาย อีกทั้งรายงานการผ่าศพของแพทย์พบว่าภายในศีรษะมีเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมอง สมองบวม บริเวณทรวงอกภายในมีกระดูกซี่โครงหัก 2 ซี่ บริเวณปอดมีรอยฟกช้ำที่กลีบปอดซ้าย บริเวณท้องมีของเหลวสีน้ำตาลอยู่ภายในช่องท้องประมาณ 200 มิลลิลิตร กระเพาะอาหารแตก และมีรอยฟกช้ำเล็กน้อยที่บริเวณกลีบซ้ายของตับ
โดยรายงานการชันสูตรพลิกศพสรุปว่าสาเหตุการตายเกิดจาก มีการบาดเจ็บที่ศีรษะอย่างรุนแรง ร่วมกับกระเพาะอาหารแตก เนื่องจากถูกทำร้ายร่างกาย โดยพลอาสาสมัครซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้คุมเรือนจำทำร้ายสิบโทกิตติกรถึงแก่ความตาย มีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องรักษาความสงบเรียบร้อยภายในบริเวณเรือนจำที่ตนเป็นสิบเวรประจำวัน มีหน้าที่รักษาความปลอดภัยต่อหน่วยงานและบุคคลผู้ต้องขัง แต่ได้จงใจสั่งการและร่วมกันกับพลทหารผู้ช่วย ทำร้ายสิบโทกิตติกรฯโดยทรมานและทารุณโหดร้าย และจงใจไม่แจ้งให้แพทย์ทราบถึงอาการบาดเจ็บของสิบโทกิตติกรฯ และไม่ได้แจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบ มีพฤติการณ์ข่มขู่ไม่ให้ผู้ต้องขังที่อยู่ภายในห้องขังเดียวกันช่วยเหลือสิบโทกิตติกรฯ และได้สั่งผู้ต้องขังในห้องขังทำร้ายร่างกายสิบโทกิตติกรฯ ที่นอนไม่ได้สติอยู่ที่พื้นห้องหลายครั้งจนกระทั่งสิบโทกิตติกรถึงแก่ความตาย

ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า นางบุญเรือง มารดาของ สิบโทกิตติกร ได้ให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อวันที่ 6 ธ.ค.2561 เมื่อครั้งฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ในส่วนคดีอาญาว่ามีความกังวลกับการดำเนินคดีอาญาเพื่อลงโทษผู้กระทำความผิด ที่ ป.ป.ท. รับเรื่องไว้แล้ว โดยเห็นว่าคดีมีความล่าช้าทั้งที่ข้อเท็จจริงมีการพิสูจน์ที่ศาลจังหวัดสุรินทร์ในการไต่สวนการตายชัดเจนแล้วถึงการกระทำความผิด
จึงขอเรียกร้องให้ ป.ป.ท. เร่งดำเนินคดีอาญาด้วย อีกทั้งต้องการให้กองทัพบกและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีมาตรการเคร่งครัดในการกำกับดูแลเจ้าหน้าที่ให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ เพื่อไม่ไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังเช่นกรณีลูกของตนอีกต่อไป
ซึ่งก็ต้องติดตามดูว่า ขณะนี้การดำเนินคดีอาญาไปยังขั้นตอนใดเเล้ว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image