‘เบนซ์ เรซซิ่ง’ ขอศาลปลดอีเอ็มจริง ศาลเห็นความจำเป็นอนุญาตให้ปลดตั้งแต่ปี’62 แต่เบนซ์ยังเบี้ยวนัดรายงานตัวทุก 2 เดือน ส่อผิดเงื่อนไข ลุ้นศาลพิจารณา
หลังจากที่มีข่าวว่า นายอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช หรือเบนซ์ เรซซิ่ง ถูกตำรวจ สน.ทุ่งสองห้อง จับกุมในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย ขณะใส่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (กำไล EM) ที่ข้อเท้า แต่ภายหลังนายอัครกิตติ์ชี้แจงว่าได้รับการอนุญาตจากศาลให้ถอดกำไลอีเอ็มแล้ว
ล่าสุด เมื่อเวลา 17.00 น.วันที่ 25 มิถุนายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วพบว่า ก่อนเกิดเหตุวันนี้นายอัครกิตติ์ซึ่งเคยได้รับการประกันตัวคดีฟอกเงินที่ศาลอาญาพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 8 ปี และได้รับการปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์คดีด้วยหลักทรัพย์ 1 ล้านบาท พร้อมการติดกำไลข้อเท้าอีเอ็ม ได้มายื่นคำร้องขอปลดกำไลข้อเท้าอีเอ็มเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 ให้เหตุผลว่า ไม่สามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ เพราะต้องทำงานโดยการแข่งรถ ที่ถือเป็นอาชีพหนึ่งของตนซึ่งได้รับค่าตอบแทนจากค่ายรถ โดยกำไลอีเอ็มเป็นอุปสรรคในการใส่ชุดแข่งที่ออกแบบเพื่อความปลอดภัยโดยเฉพาะ อีกทั้งการสวมกำไลทำให้มีอาการเจ็บบริเวณข้อเท้าจากการกดทับที่เป็นระยะเวลานาน รวมทั้งพบว่าตัวเครื่องมีปัญหาเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เรื่องชาร์จไฟแบตเตอรี่ ประกอบกับตนต้องเดินทางออกต่างจังหวัดบางครั้งติดต่อกันหลายอาทิตย์ ซึ่งด้วยข้อบังคับและกฎทำให้ตนไม่สามารถเดินทางด้วยเครื่องบินได้ โดยการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวต้องใช้เวลานาน แต่หากมีการปลดอุปกรณ์ดังกล่าวแล้วจะทำให้สามารถเดินทางด้วยเครื่องบินก็ช่วยลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางตลอดปีจำนวนมาก ขณะเดียวกันตนยังต้องไปศึกษากฎหมายเพิ่มเติมที่ ม.รามคำแหง ส่วนหลักประกันที่ใช้เป็นหลักทรัพย์นั้นมีมูลค่ามากกว่าวงเงินประกันของศาลที่ตีราคาพอสมควร และตนมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง จึงขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาต โดยในวันเดียวกันศาลได้พิจารณาคำร้องแล้วเห็นว่า นายอัครกิตติ์ไม่มีพฤติการณ์หลบหนีและหลักประกันมีมูลค่าเพียงพอที่จะบังคับคดี หากเกิดกรณีผิดสัญญาประกันจึงอนุญาตให้ปลดกำไลอีเอ็มโดยให้จำเลยรายงานตัวต่อศาลทุก 2 เดือนแทน
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ก็ได้ครบกำหนดการรายงานตัวครั้งล่าสุด แต่นายอัครกิตติ์ไม่ได้มาตามนัด โดยวันเดียวกันนี้ ทนายความได้มายื่นคำร้องต่อศาลมาขอเลื่อนการรายงานตัว ซึ่งยังไม่ปรากฏว่าศาลมีคำสั่งอย่างไร ซึ่งจะต้องติดตามคำสั่งอีกครั้งว่ากรณีดังกล่าวจะเข้าข่ายการผิดเงื่อนไขประกันตัวหรือไม่
