ตร.แจงยิบ อสส.ถอนฟ้องทายาทเครื่องดื่มชูกำลังซิ่งสปอร์ตหรูชน ด.ต.ทองหล่อดับ รองโฆษกเผย แม้ผบ.ตร.ก็ก้าวล่วงความเห็นสั่งไม่ฟ้องไม่ได้
จากกรณีอัยการสั่งไม่ฟ้อง นายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส อยู่วิทยา ทายาทธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลัง หลังขับรถสปอร์ตเฟอร์รารี่ชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ผบ.หมู่ ป.สน.ทองหล่อ ระหว่างขี่รถจักรยานยนต์ปฏิบัติหน้าที่ที่ปากซอยสุขุมวิท 49 ถนนสุขุมวิท แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2555 เป็นเหตุให้ตำรวจนายดังกล่าวเสียชีวิต
อ่านรายละเอียด สื่อนอกเผยตำรวจถอนฟ้อง ‘ทายาทกระทิงแดง’ ทุกข้อหา
ล่าสุดเมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 24 กรกฎาคม ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.ท.ปิยะ อุทาโย ผู้ช่วย ผบ.ตร.ในฐานะโฆษก ตร.ร่วมกับ พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ ในฐานะ รองโฆษก ตร.แถลงกรณีสำนักงานอัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส อยู่วิทยา ทายาทธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลัง หลังขับรถสปอร์ตเฟอร์รารี่ชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ผบ.หมู่ ป.สน.ทองหล่อ ระหว่างขี่รถจักรยานยนต์ปฏิบัติหน้าที่ที่ปากซอยสุขุมวิท 49 ถนนสุขุมวิท แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2555 เป็นเหตุให้ตำรวจนายดังกล่าวเสียชีวิต
พ.ต.อ.กฤษณะ กล่าวว่า สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1 ส่งคำร้องเห็นควรสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ ในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตาม ป.อาญา ม.291 ซึ่ง ตร.พิจารณาแล้วเห็นพ้องตามอัยการ แต่ไม่สามารถเปิดเผยสาเหตุได้ ยืนยันว่า ตร.ได้ตั้งองค์คณะตามกฎหมาย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของใครเพียงคนเดียว ซึ่งทุกขั้นตอนมีพนักงานอัยการกลั่นกรอง ฉะนั้นในการสอบสวนใครก็เข้าไปก้าวล่วงไม่ได้ แม้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนทั้งประเทศก็ไปสั่งคดีไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ตัดสิทธิ์ผู้เสียหายที่จะฟ้องร้องคดีตามกฎหมายเอง
จากนี้พนักงานสอบสวนจะดำเนินการถอนหมายจับนายวรยุทธในไทย และให้ตำรวจกองการต่างประเทศประสานตำรวจสากลถอนหมายจับอินเตอร์โพล ทำให้นายวรยุทธสามารถกลับเข้าประเทศได้ตามปกติ แต่ต้องใช้เวลาสักระยะ ยอมรับว่าตอนนี้ไม่ทราบว่านายวรยุทธอยู่ที่ใด
พ.ต.อ.กฤษณะ กล่าวยืนยันว่า คดีนี้เป็นการดำเนินการตามขั้นตอนปกติ มีหลายคดีที่ตำรวจมีความเห็นแย้ง ซึ่งยึดตามพยานหลักฐานไม่ใช่เรื่องสองมาตรฐานหรือทำตามกระแสสังคม ที่ผ่านมาพนักงานอัยการสั่งให้พนักงานสอบสวนสอบเพิ่มเติมในหลายประเด็น และพนักงานสอบสวนก็ส่งความเห็นเพิ่มเติมไปหลายครั้ง กระทั่งเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา พนักงานอัยการก็มีความเห็นเด็ดขาดออกมา
พ.ต.อ.กฤษณะ กล่าวด้วยว่า กรณีที่สังคมตั้งข้อสงสัยว่าตำรวจมีการเข้าข้างการทำสำนวนนั้นไม่เป็นความจริง เพราะที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ก็เปิดโอกาสให้ตรวจสอบมาโดยตลอด การสั่งไม่ฟ้องข้อหาใดก็มีเหตุผลความจำเป็นและพยานหลักฐานสนับสนุนอยู่แล้ว ที่ผ่านมายังมีการดำเนินการทางวินัยกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องซึ่งบกพร่องในการทำสำนวนคดีนี้ในอดีตไปแล้ว
เมื่อถามว่า ตร.รู้สึกเสียใจกับการสูญเสีย ด.ต.วิเชียร หรือไม่ พ.ต.อ.กฤษณะ กล่าวยืนยันว่า ตร.เสียใจกับการสูญเสียของเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกราย หากย้อนเวลากลับไปได้ก็ต้องจับกุมดำเนินคดีให้ดีกว่านี้ เรารู้สึกเจ็บปวดด้วย แต่การดำเนินคดีคือการรวบรวมพยานหลักฐาน และทุกขั้นตอนมีหลายหน่วยงานตรวจสอบด้วย
เมื่อถามถึงกรณีที่ ด.ต.วิเชียร ผู้เสียชีวิต กลับมีชื่อเป็นผู้ต้องหาที่ 2 พ.ต.อ.กฤษณะ กล่าวว่าเป็นคำฟ้องคดีตั้งเเต่เริ่มต้นเมื่อปี 2555 ที่ระบุว่านายวรยุทธ์ กับ ด.ต.วิเชียร ขับรถชนกัน เป็นการประมาทร่วม จึงมีชื่อของ ด.ต.วิเชียร เป็นผู้ต้องหาที่2 แต่พนักงานสอบสวนสั่งไม่ฟ้องไปตั้งแต่ครั้งเนื่องจากผู้ต้องหาเสียชีวิต ทั้งนี้คำสั่งดังกล่าวยึดตามคำฟ้องของพนักงานสอบสวนที่ส่งให้อัยการพิจารณา จึงยังปรากฎชื่อของ ด.ต.วิเชียร เป็นผู้ต้องหาที่2 อยู่
ส่วนกรณีที่สังคมมองว่า “คุกมีไว้ขังคนจนเท่านั้น” รองโฆษกตร.ขอร้องว่าสังคมอย่าสร้างวลีเช่นนั้น ตำรวจปฏิบัติตามหน้าที่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีนี้เกิดขึ้นปี 2555 ซึ่งนายวรยุทธ ปัจจุบันอายุ 28 ปี เป็นผู้ขับรถยนต์เฟอร์รารี่ชนรถจักรยานยนต์ของ ด.ต.วิเชียร ซึ่งออกมาปฏิบัติหน้าที่หลังได้รับแจ้งเหตุลักขโมย จน ด.ต.วิเชียร เสียชีวิต ก่อนที่นายวรยุทธ จะถูกตั้งข้อหาขับรถขณะมึนเมา, ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย, ขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือผู้ถูกชน ซึ่งคดีความหมดอายุความและล่าสุดมีคำสั่งไม่ฟ้อง