พล.ต.อ.วิระชัย ฟ้อง’บิ๊กแป๊ะ’ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ กลั่นแกล้งให้ถูกสำรองราชการ เสียสิทธิ์ขึ้นผบ.ตร.

พล.ต.อ.วิระชัย ส่งทนายฟ้อง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ กลั่นแกล้งให้ถูกสำรองราชการ เสียสิทธิ์ขึ้นตำแหน่ง ผบ.ตร. ศาลอาญาทุจริตฯนัดฟังคำสั่งชั้นตรวจฟ้อง 8 ก.ย.

เมื่อวันที่ 24 ส.ค.63 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อวันที่ 21 ส.ค.63 ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ซอยสีคาม พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา ซึ่งถูก พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. มีคำสั่งสำรองราชการ ได้มอบหมายให้ นายสัญชัย ทรัพย์เจริญ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พล.ต.อ.จักรทิพย์ เป็นจำเลยในความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือผู้หนึ่งผู้ใดได้ประโยชน์

โดยคำฟ้องระบุว่า จำเลยเป็นข้าราชการตำรวจในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมีหน้าที่ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายระเบียบข้อบังคับ

จากกรณีเมื่อวันที่ 6 มกราคมได้มีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงใส่รถของพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาลและในขณะนั้นจำเลยไม่ได้อยู่ในราชอาณาจักรไทยและ โจทก์ขณะนั้นรักษาราชการแทนจำเลยในตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงมีฐานะเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนทั่วราชอาณาจักรและมีหน้าที่รับผิดชอบควบคุมการปฏิบัติราชการทั้งปวงในสำนักงานตำรวจแห่งชาติแทนจำเลยตามกฎหมาย เมื่อมีเหตุเกิดขึ้นจนเห็นว่าเป็นคดีที่ได้รับความสนใจจากประชาชนและสื่อมวลชนจึงเข้าไปควบคุมกำกับดูแลและเร่งรัดการสืบสวนสอบสวนเพื่อให้มีการจัด คนร้ายได้โดยเร็ว

ต่อมาขณะที่จำเลยอยู่ในต่างประเทศได้โทรศัพท์ติดต่อมายังโจทย์เวลาประมาณ 21.30 น. ซึ่งเวลาดังกล่าวโจทก์เข้านอนแล้ว ไม่สะดวกที่จะจดบันทึกรายละเอียดในการสนทนาเพราะเป็นเรื่องปัจจุบันทันด่วนจึงต้องใช้การบันทึกเสียงแทนการจดบันทึกเพราะเห็นว่ากรณีมีคำแนะนำที่สำคัญและเป็นประโยชน์ที่จะนำไปปฏิบัติให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานต่อไป

Advertisement

จากบทสนทนาดังกล่าวเห็นได้ว่าจำเลยได้พูดระบายความรู้สึกในใจของจำเลย ที่มีต่อพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล พร้อมทั้งการกระทำของโจทก์ที่เข้าไปควบคุมคดีนี้ การสนทนาดังกล่าวจึงไม่เป็นข้อสั่งการทางราชการเพราะขณะนั้นจำเลยอยู่นอกราชอาณาจักรไทย ไม่มีอำนาจตามกฎหมาย และบทสนทนาดังกล่าวไม่ใช่ความลับจึงไม่ได้เป็นความลับทางราชการ

ต่อมามีผู้ไม่หวังดีนำคลิปเสียงสนทนาดังกล่าวไปเผยแพร่ทางสื่อมวลชนทำให้จำเลยไม่พอใจโจทย์อย่างมากประกอบกับเป็นช่วงระยะเวลาที่จะมีการแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแทนจำเลยที่จะเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายน 2563 ซึ่งโจทก์เป็นผู้มีสิทธิ์ได้รับการแต่งตั้งเพราะโจทก์มีอาวุโสอันดับ 1 และมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแต่จำเลยไม่ต้องการให้โจทก์ได้รับการแต่งตั้งจึงได้ดำเนินการออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยหลายประการเพื่อให้โจทก์เป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือไม่เหมาะสมที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

ต่อมาจำเลยได้มีคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติแต่งตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงกรณีโทรศัพท์สั่งการคดียิงรถพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงทำตามคำสั่งมีข้อสรุปว่ามีมูลเพียงพอรับฟังได้ว่าโจทก์กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์เสียหายเพราะทำให้โจทก์ต้องถูกบังคับจากคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและเสียสิทธิ์ในการได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ทั้งที่เป็นรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อาวุโส อันดับ 1 เนื่องจากขาดคุณสมบัติเพราะถูกสำรองราชการและเกิดความเสียหายเนื่องจากการสำรองราชการ ไม่มีเงินประจำตำแหน่งเหมือนตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และไม่มีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและเป็นตำแหน่งที่ รวมทั้งไม่มีเกียรติไม่มีศักดิ์ศรีเท่ากับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและถือเป็นตำแหน่งที่มีไว้สำหรับตำรวจผู้กระทำผิดอาญาอย่างร้ายแรง การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ประกอบมาตรา 91

Advertisement

ทั้งนี้ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้รับคำฟ้องไว้พิจารณาและนัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษา ในชั้นตรวจคำฟ้อง
วันที่ 8 ก.ย.63 เวลา 9:30 น โดยที่ตัวจำเลยยังไม่ต้องเดินทางมาฟังคำสั่ง แต่ฝ่ายโจทก์ ต้องมาฟังคำสั่งว่า คำฟ้องครบถ้วนตามกฎหมายหรือไม่

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image