8 กลุ่มจนท.รัฐ-บุคคลอื่น ร่วมขบวนการ เข้าทฤษฎีสมคบคิด’คดีบอส’ต้องโดนวินัย-อาญา

วิชา มหาคุณ ร่ายยาว แถลงผลสอบคดี “บอส อยู่วิทยา” ชี้ พบพิรุธสำนวน กก.เห็นตรงกันเป็นการสมยอมไม่สุจริต ร่วมมือกันตามทฤษฎีสมคบคิด ทำสำนวนเสียตั้งแต่ต้น เสนอแก้กฎหมายปมผู้ต้องหาหนีคดีไม่นับอายุความ

บอส อยู่วิทยา – เมื่อเวลา 12.20 น. วันที่ 1 กันยายน ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายวิชา มหาคุณ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีคำสั่งไมฟ้องคดีอาญาที่อยู่ในความสนใจของประชาชน แถลงสรุปผลการค้นหาความจริงกรณีอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส ที่ขับรถชนตำรวจเสียชีวิต ปี 2555

นายวิชา กล่าวว่า คดีนี้เป็นเรื่องที่น่าอับอายสำหรับบุคคลและองค์กรที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรม แม้แต่คนไทยเองก็ตามที่ต้องรู้เรื่องจากฝรั่งว่า คดีของนายวรยุทธ ที่ขับรถชนตำรวจเสียชีวิต จนเกิดผลจากสั่งฟ้องกลายเป็นสั่งไม่ฟ้อง คณะกรรมการฯได้ทำงานมาตั้งแต่ 1 สิงหาคม – 30 สิงหาคม จนสามารถส่งข้อเสนอแนะได้ตามกำหนดเวลา และข้อมูลที่เราได้มา ขอเรียนว่ายังเป็นข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็เป็นกังวลว่า หากเผยแพร่หรือเปิดเผยออกไปจะกระทบถึงเขาหรือไม่อย่างไร ฉะนั้นในสรุปรายงานที่ให้กับสื่อมวลชนครบเหมือนที่บอกไว้ บอกหมดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไร เข้ามาในกระบวนการได้อย่างไร มีพฤติกรรมอย่างไร บอกโดยละเอียดทั้งหมด และเป็นสิทธิ์ของนายกรัฐมนตรีต้องไปดำเนินการต่อและสิทธิ์ของท่านที่จะพิจารณาเผยแพร่ต่อไป ทั้งนี้ สำหรับเอกสารที่สรุปให้กับสื่อมวลชนจะทำให้เห็นกระบวนการทั้งหมด แต่ตัวละครต่างๆ จะขอใช้อักษรย่อ พร้อมระบุตำแหน่งให้ แต่เป็นบุคคลที่คุณก็รู้ว่าใครเหมือนแฮรี่พอตเตอร์ ซึ่งท่านสามารถไปสืบหาต่อได้เลยว่าเป็นใคร

นายวิชา กล่าวด้วยว่า เราเห็นพฤติกรรมที่เริ่มตั้งแต่ทำสำนวนบกพร่อง เพราะการที่ตั้งข้อหาสำหรับคนตาย โดยเฉพาะ ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ผบ.หมู่งานปราบปราม สน.ทองหล่อ ที่ถูกนายวรยุทธ ขับรถชนจนเสียชีวิต ถือว่าไม่เป็นธรรมและไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะไม่มีสิทธิ์ต่อสู้คดี แม้ว่าเขาจะได้รับเงินเยียวยา แต่ก็ทำให้รูปคดีเสียหายอย่างหนัก ผู้เชี่ยวชาญสอนกันมาตั้งแต่อดีตว่า หากตำรวจตั้งรูปคดีแบบนี้แสดงว่าไม่ได้จริงจังหรือจริงใจในการทำสำนวน

“กระบวนการเหล่านี้เราเห็นภาพว่า พนักงานสอบสวนไม่ได้ทำอย่างมืออาชีพ เพราะบางข้อกล่าวหาไม่ได้ใส่ไว้ในสำนวน สอบไว้เพียงแค่ให้รู้ว่าสอบ แต่ไม่ได้จริงจัง และก็สั่งไม่ฟ้องสำหรับข้อกล่าวหานั้น เช่นเรื่องเมาแล้วขับ ซึ่งประเด็นนี้ นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาแล้วขับ ก็ต่อสู้เรื่องนี้มานาน และท่านเสียใจมากว่าจะกลายเป็นเรื่องที่ขับแล้วเมา ซึ่งจะเป็นตัวอย่างในการต่อสู้คดีในอนาคตและทำให้หลุดคดีทั้งหมด” นายวิชากล่าว

Advertisement

นายวิชา กล่าวต่อว่า สิ่งที่เป็นประเด็นสำคัญคือการใช้ระยะเวลายาวนานมากในการสอบสวน คือกินเวลากว่า 6 เดือน และไม่ได้นำตัวมาส่งฟ้องศาล ตามที่อัยการมีความเห็นสั่งฟ้องตั้งแต่แรก อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ต้องขอบคุณอัยการหลายท่านที่เป็นคนดีขององค์กร และต่อสู้เรื่องนี้มาโดยตลอดไม่ว่าจะถูกกดดันเพียงใด ในกรณีนี้มีอยู่ท่านหนึ่งซึ่งเป็นอัยการในระดับที่ไม่ใหญ่นัก แต่ว่าเขายืนหยัดต่อสู้ตรงนี้ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องขอบคุณ อย่าเห็นว่าองค์กรจะมีแต่คนเลว

นายวิชา กล่าวต่ออีกว่า คดีนี้มีการร้องขอความเป็นธรรม 14 ครั้ง โดยไม่ประสบความสำเร็จ 13 ครั้ง ส่วนการร้องขอความเป็นธรรมครั้งที่ 14 มีการยื่นพยานหลักฐานที่ก่อนหน้านีได้มีการปฏิเสธไปแล้ว ซึ่ง ร.ต.พงศ์นิวัติ ยุทธภัณฑ์บริการ อดีตอัยการสูงสุด (อสส.) ได้ปฏิเสธพยานหลักฐานที่นำมาร้องขอความเป็นธรรมไปแล้ว นอกจากนั้น น.ส.นิภาพร รุจนรงศ์ รองอัยการสูงสุด ก็ได้ปฏิเสธการร้องขอความเป็นธรรมไปแล้ว 2 ครั้ง และครั้งสุดท้ายอย่างที่เรารู้กันอยู่ว่า ท่านรองอัยการสูงสุดที่รับผิดชอบเรื่องนี้หยิบยกพยานหลักฐานที่ถูกปฏิเสธไปแล้วมาถือว่าเป็นพยานหลักฐานใหม่ที่มั่นคง นอกจากนั้นยังมีอดีต อสส.อีก 4 คน ที่ให้ข้อมูลว่าการร้องขอความเป็นธรรมจะต้องใช้พยานหลักฐานใหม่เท่านั้น

นายวิชา กล่าวอีกว่า เรายังพบว่าในการร้องขอความเป็นธรรมครั้งที่ 8 วันที่ 16 มิถุนายน 58 เป็นครั้งที่เราถือได้ว่าเป็นการร่วมมือร่วมแรงร่วมใจกันจนผิดปกติที่สุดในกระบวนการทำสำนวนในลักษณะของการสมยอมในการสอบสวน และเรายังพบว่าวันที่ก็ผิด ไม่ได้เป็นวันที่จริง เพราะเรารู้กันอยู่ว่า วันที่สอบพยานผู้เชี่ยวชาญทางด้านความเร็ว ซึ่ง พ.ต.อ.ธนสิทธิ แตงจั่น ตำรวจพิสูจน์หลักฐานในคดี และ นายสายประสิทธิ์ เกิดนิยม อาจารย์ประจำและหัวหน้าศูนย์วิจัยเฉพาะทางวิศวกรรมการประเมินและความปลอดภัยยานยนต์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือที่ทำให้กลับความเห็นเรื่องความเร็ว ซึ่ง พ.ต.อ.ธนสิทธิ ยืนยันว่า มันมีการกระทำในลักษณะที่ถูกกดดันด้วย

Advertisement

“ต้องขอบคุณ พ.ต.อ.ธนสิทธิ และนายสายประสิทธิ์ ที่ให้ข้อมูล เพราะวันที่สอบปากคำทั้งวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2559 และ 2 มีนาคม 2559 ถือเป็นวันเท็จ เพราะวันที่มีการสอบปากคำจริงๆ คือ วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2559 เรามีหลักฐานยืนยันชัดเจน และเป็นหลักฐานที่ทำให้เราเชื่อโดยปราศจากข้อสงสัย และทั้งสองคนก็เข้าอยู่กระบวนการคุ้มครองพยานในทันที”

เมื่อถามว่า พยานหลักฐานอะไรที่ยืนยันว่ามีการแก้เปลี่ยนแปลงวันที่ และวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2559 เป็นวันเท็จ นายวิชาตอบว่า “เป็นหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์”

เมื่อถามย้ำว่า หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์พิสูจน์อย่างชัดเจนใช่หรือไม่ว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2559 นายวิชา ตอบว่า “เอาเป็นว่า เป็นหลักฐานที่เราได้ส่งพิสูจน์ตามกระบวนการนิติวิทยาศาสตร์แล้ว และได้รับการยืนยันว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2559 ”

นายวิชา กล่าวต่อด้วยว่า แม้ว่านายสายประสิทธิ์จะเป็นผู้ให้ข้อมูลจนทำให้ความเร็วบิดผัน แต่ท่านยืนยันว่าเป็นการคำนวณตามหลักวิศวกรรม อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่าไม่ได้ไปดูที่เกิดเหตุ ไม่ได้คำนวณที่ถนน และไม่ได้ทดสอบอะไร เพียงแต่คำนวณความเร็วทั้งหมดจากกระดาษบนโต๊ะทำงานเท่านั้น ฉะนั้นไม่ใช่ข้อมูลความเร็วที่เป็นจริงเหมือนที่ พ.ต.อ.ธนสิทธิ คำนวณไว้ว่าความเร็วรถนายวรยุทธอยู่ที่ 177 กม./ชม. ซึ่งคนที่ให้ข้อมูลที่แท้จริงเรื่องนี้คือ นายสธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ อาจารย์ประจำภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งพนักงานสอบสวนไม่ได้นำเอกสารที่ท่านทดสอบไปใส่ไว้ในสำนวนคดีด้วย จึงเห็นได้ว่าเป็นข้อพิรุธในสำนวน กระบวนการเหล่านี้ เราเห็นว่ามีการหยิบยกพยานหลักฐานที่สร้างขึ้นมาอันเป็นเท็จ ด้วยความร่วมไม้ร่วมมือกันระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐ ทนายความ มีอัยการท่านหนึ่งอยู่ในกระบวนการนี้ด้วย ซึ่งนายประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ รู้ดีว่าเป็นใคร ขอให้ไปถามนายประสงค์ได้เลย ไม่มีข้อสงสัยในข้อนี้ เพราะอยู่ในพยานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่เราจะต้องตรวจสอบต่อไป

“คณะกรรมการจึงมีความเห็นตรงกันว่า เป็นการทำ อันเป็นการสมยอม ไม่สุจริต ร่วมมือกันแบบที่เรียกว่า ตามทฤษฎีสมคบคิด ทำให้สำนวนเสียไปตั้งแต่ต้น เหมือนที่เราพูดว่าเรื่องนี้เป็นต้นไม้พิษ สร้างผลไม้อันเป็นพิษ บริโภคไม่ได้ ต้องเสียไปทั้งหมด ในทางกระบวนการเราเห็นว่าให้มีการสอบสวนใหม่ ไม่ใช่ว่าสอบสวนพยานหลักฐานใหม่ตาม ป.วิอาญา มาตรา 147 แต่เราเห็นยิ่งกว่านั้นคือต้องนับหนึ่งใหม่ แต่เนื่องจากบางข้อหาขาดอายุความไปแล้ว คงช่วยไม่ได้ในส่วนนี้เราจึงได้เสนอด้วยว่า หลังจากนี้จะต้องมีการปรับปรุงแก้ไขเกี่ยวกับเรื่องอายุความ ที่เราเสนอว่าต้องแก้โดยเร่งด่วน ให้อายุความ หยุดลงเมื่อผู้ต้องหาหลบหนี แบบเดียวกับคดีทุจริตที่อายุความหยุดลงตราบใดที่ยังหลบหนีอยู่” นายวิชา กล่าว

นายวิชา กล่าวอีกว่า มีเรื่องที่ต้องดำเนินการสำหรับบุคคลที่อยู่ในตำแหน่งสูง และเป็นผู้นำองค์กร เราอาจจะไม่ได้ข้อมูลที่แท้จริงในเรื่องของทางอาญา หรือทางวินัย แต่ว่าเราสามารถดำเนินการได้ในแง่ของจริยธรรม เพราะรัฐธรรมนูญปี 2560 พูดถึงเรื่องจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดย ป.ป.ช.เป็นผู้ดำเนินการตรวจสอบ และอาจจะให้พ้นจากตำแหน่งได้โดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งมีผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ประมาณ 10 คนขึ้นไป

สำหรับข้อเสนอของคณะกรรมการ ประกอบด้วย 1.ต้องเริ่มกระบวนการสอบสวนใหม่ให้ถูกต้องในข้อหาที่ยังไม่ขาดอายุความ โดยเฉพาะข้อหายาเสพติดให้โทษ ข้อหาขับขี่รถชนในขณะเมาสุราและเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

2.ต้องมีการดำเนินการทางวินัยและทางอาญาต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐและบุคคลอื่นที่ร่วมขบวนการ ซึ่งมีทั้งหมด 8 กลุ่ม ดังนี้

1) พนักงานสอบสวนซึ่งเกี่ยวข้องกับสำนวน

2) พนักงานอัยการซึ่งปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

3) ผู้บังคับบัญชาซึ่งแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่

4) สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติซึ่งแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่

5) ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองซึ่งแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่

6) ทนายความซึ่งกระทำผิดกฎหมาย

7) พยานซึ่งให้การเป็นเท็จ

8) ตัวการ ผู้ใช้ และผู้สนับสนุนในการกระทำผิดกฎหมายดังกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า การดำเนินการกับบุคคลระดับผู้บังคับบัญชาจะรวมถึงบุคคลที่อยู่ในระดับผู้นำองค์กรด้วยหรือไม่ นายวิชา ตอบว่า ถ้าเผื่อเขาสอบไปว่าถ้ามายุ่งเกี่ยวด้วยก็ต้องเข้าด้วย แล้วแต่ว่ากระบวนการในการสอบสวนหรือไต่สวนในการดำเนินการเพื่อให้ได้ความจริง

เมื่อถามย้ำว่าในการค้นหาความจริงของคณะกรรมการ ยืนยันว่ามีผู้นำองค์กรเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยใช่หรือไม่ นายวิชาตอบว่า “มี”

ผู้สื่อข่าวถามถึงการเสียชีวิตของนายจารุชาติ มาดทอง จากการสวบสวนมีความเชื่อมโยงกับนายวรยุทธหรือไม่ นายวิชา กล่าวว่า จากที่เราได้มามีความเชื่อมโยงพอสมควร และเป็นที่รู้กันอยู่ เหมือนในโซเชียลมีเดียก็ยังรู้ล่วงหน้าว่าใครเป็นผู้อุปถัมภ์นายจารุชาติ มีทั้งบุคคลที่มีความเกี่ยวพันกับนายวรยุทธ และกับผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ทางภาคเหนือ ซึ่งเราก็รู้กันอยู่ ดังนั้น ทางตำรวจภาค 5 กำลังดำเนินการตรวจสอบอยู่ว่าทำไมถึงมีการทำลายมือถือของนายจารุชาติ เพราะมันไม่น่าจะต้องทำลายถึงขนาดนั้น ก็กำลังตรวจสอบอยู่

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีหลักฐานใดที่ทำให้คณะกรรมการเชื่อมั่นว่าวันที่สอบปากคำเป็นเพียงวันเดียวทั้งที่สำนวนระบุว่าสอบปากคำ 2 วัน นายวิชา กล่าวว่า เป็นหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ เมื่อถามย้ำว่า หลักฐานนิติวิทยาศาสตร์ที่เป็นตัวบ่งชี้ให้เกิดความชัดเจนจนคณะกรรมการเชื่อมั่นแบบนั้น นายวิชา กล่าวว่า หลักฐานดังกล่าวทางคณะกรรมการฯได้ส่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการแล้ว

เมื่อถามต่อว่า จะมีการปฏิรูปเรื่องการพิจารณาคดีลับหลังจำเลยหรือไม่ นายวิชา กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นข้อเสนอของคณะกรรมการที่จะสนอให้ป.ป.ท.เป็นผู้ประสานงานหรือดำเนินการส่งต่อให้หน่วยงานต่างๆไม่ว่าจะเป็นป.ป.ช. ดีเอสไอ โดยคณะกรรมการฯ เสนอว่าขอให้รับเป็นคดีพิเศษ สำหรับดีเอสไอ รวมไปถึงหน่วยงานอื่นๆก็เสนอให้ผู้บังคับบัญชาไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง

ผู้สื่อข่าวถามว่า ขอความชัดเจนเรื่องความเร็วรถของนายวรยุทธและจุดเกิดเหตุของมอเตอร์ไซต์ของดาบตำรวจและรถยนต์ของนายวรยุทธ นายวิชา กล่าวว่า ในสำนวนเขียนไว้ชัดเจนขอให้อ่านในรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพราะเขียนไว้ชัดเจนในเรื่องความเร็ว ซึ่งจากการที่นักวิชาการได้คำนวณไว้แต่แรก 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมงที่มีนายสธน วิจารณ์วรรณลักษ์ อาจารย์ประจำภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ช่วยพิจารณาด้วยนั้นก็เป็นกระบวนการที่น่าเชื่อถือ เพราะการที่นายจารุชาติมาให้ถ้อยคำว่าชนไม่แรง และเป็นการใช้ความเร็ว 50-60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คือการกลับคำให้การเดิม ซึ่งเขาเคยให้ถ้อยคำไว้ไม่ใช่แบบนี้

ส่วนจุดเกิดเหตุระหว่างรถยนต์กับมอเตอร์ไซต์ภาพมันก็ฟ้องอยู่ ตั้งแต่แรกแล้วคือการชนซ้อนเข้าไปด้านหลัง ไม่ได้เบี่ยงมาจากด้านข้าง แต่เป็นการชนตรง และผู้ตายกระเด็นเข้าไปหน้ากระจกรถยนต์และยังถูกลากพาไป 60 กว่าเมตร รถเฟอร์รารีก็หยุดไม่ได้ 90 กว่าเมตรเมื่อบวกกันแล้วก็เกินกว่า 100 เมตร ซึ่งตรงนี้ในการสรุปเขียนไว้ชัดเจนว่ามันแสดงให้เห็นว่ามีความผิดปกติ และมีการให้ข้อมูลว่าการที่หยุดรถไม่ได้ในทันที แล้วครูดไป ลากไป แล้วผู้ตายกระเด็นไปขนาดนี้มันน่าจะเป็นการทำให้คนตายด้วยเจตนาด้วยซ้ำไป

ผู้สื่อข่าวถามว่า จากการสอบสวนของคณะกรรมการสามารถระบุได้ชัดเจนหรือไม่ว่ามีผู้กระทำผิดกี่คน นายวิชา กล่าวว่า จำนวนประมาณ 10 คนขึ้นไป

ผู้สื่อข่าวถามว่า จากการสอบสวนพบความเชื่อมโยงของทนายความกับครอบครัวนายวรยุทธอย่างไรหรือไม่ นายวิชา กล่าวว่า ก็ต้องมีการให้สภาทนายความไปสอบต่อเพื่อให้เห็นภาพเชื่อมโยงว่าทางเจ้าตัวเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ทนาย ธ.คนนี้เลย ยังไม่ปรากฎตัว และยังตามตัวไม่พบ เพราะฉะนั้นยังหาข้อมูลเชื่อมโยงไม่ได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า ทางคณะกรรมการฯได้พิจารณาไปถึงความพยายามของตำรวจในการติดตามตัวนายวรยุทธ มาดำเนินการหรือไม่ นายวิชา กล่าวว่า นั่นเป็นเรื่องที่มีปัญหาที่ว่าอัยการดำเนินการเพื่อขอให้ออกหมายจับโดยศาลอาญากรุงเทพใต้ ก็ได้ออกหมายจับไปแล้ว แต่ปรากฎว่าเมื่อผู้บังคับการกองการต่างประเทศของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ติดต่อตำรวจสากล หรือ อินเตอร์โพล และทางอินเตอร์โพล ได้ออกหมายแดงให้ แต่หลังจากนั้นอีกไม่กี่วันผู้บังคับการกองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ถูกย้าย ซึ่งเรื่องนี้คณะกรรมการฯได้ระบุไว้ในสำนวนแล้ว และเราก็ชี้ให้เห็นว่านั่นคือสิ่งผิดปกติ

ส่วนการติดตามตัวนายวรยุทธ ทางตม.ได้ยืนยันแล้วว่าเขาจะไม่ลบชื่อออกและจะดำเนินการต่อไปอย่างจริงจัง ซึ่งทางคณะกรรมการฯก็จะรอฟังต่อไปว่าจะมีความชัดเจนอย่างไร ส่วนเรื่องการนำตัวนายวรยุทธมาลงโทษ จะต้องไปถามทางอัยการและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพราะเป็นเรื่องของกระบวนการส่งผู้ร้ายข้ามแดนที่มีกฎหมายว่า ตำรวจต้องไปหาว่าตัวเขาอยู่ใดและทางอัยการก็ประสานงานกับกระทรวงต่างประเทศ ช่วยดำเนินการประสานทางสถานทูตและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายฝ่ายตามกฎหมาย ซึ่งที่ผ่านมามีการประสานไปแบบไม่ประสาน ประสานแบบไม่ค่อยเต็มใจจะประสาน แต่ในรอบใหม่นี้ยังไม่เห็นว่าเขาจะไม่เต็มใจหรือเปล่า ขณะนี้ที่บอกว่าไม่ปรากฎชื่อ ไม่ปรากฎข้อมูลในตม. ซึ่งขณะนี้ปรากฎแล้ว เพียงแต่ยังไม่เห็นเรื่องของหมายแดง ดังนั้นจึงต้องติดตามอินเตอร์โพล รวมไปถึงการส่งผู้ร้ายข้ามแดน

ผู้สื่อข่าวถามว่า จากการสอบสวนพบหรือไม่ว่ากมธ.ของสนช.รายใดมีความเกี่ยวโยงด้วยหรือไม่ นายวิชา กล่าวว่า รายละเอียดมีอยู่ในรายงาน แต่เป็นกมธ.บางคน ไม่ใช่ทุกคน

นายวิชา กล่าวในช่วงท้ายว่า ขอบคุณสื่อที่ติดมาตลอด 30 วันของการทำงาน ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่น ศรัทธาและไว้วางใจ ทางคณะกรรมการจะทำสิ่งที่ดีที่สุดให้เกิดประโยชน์กับประเทศของเรา

อ่านเพิ่มเติม เผยผลสอบ’วิชา มหาคุณ’พบ คดีบอส อยู่วิทยา เป็นขบวนการดำเนินคดีเชื่อได้ว่าสมคบคิดกันอย่างเป็นระบบ

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image