ภาคีนักกฎหมายสิทธิฯ แถลงประณาม ‘ความรุนแรงจากรัฐ’ จวก ตร.กลั่นแกล้ง ใช้อำนาจเกินสัดส่วน

‘ภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน’ แถลงประณาม ‘ความรุนแรงจากรัฐ’ จวก ตร.กลั่นแกล้ง ใช้อำนาจเกินสัดส่วน ก้าวล่วงสิทธิเสรีภาพ ประชาชน

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 29 มกราคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน อ่านแถลงการณ์ เรื่อง ขอให้รัฐ “หยุดใช้อำนาจนอกกรอบกฎหมาย หยุดใช้ความรุนแรง หยุดการดำเนินคดีที่ไม่เป็นธรรม” โดยแถลงการณ์ระบุว่า ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าสลายการชุมนุมของประชาชาชนมาอย่างต่อเนื่อง มีสถานการณ์การสลายการชุมชนและการควบคุมตัวผู้ชุมนุมหลายเหตุการณ์ ที่ภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนเห็นว่าเป็นการใช้อำนาจเกินส่วนของเจ้าหน้าที่ อันเป็นการละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน เช่น

กรณีที่ 1 การควบคุมตัวผู้ชุมนุม ไปที่กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดน ภาค 1 โดยไม่มีกฎหมายให้อำนาจไว้ คือ ตามกฎหมายแล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องควบคุมตัวผู้ต้องหาไปยังสถานีตำรวจที่มีอำนาจสอบสวน แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับควบคุมตัวผู้ต้องหาไปยังกองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดน ภาค 1 ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2563 ถึงปัจจุบัน

เราพบกรณีนี้อย่างน้อย 2 คดีคือ เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2563 กรณีการ์ดวีโว่ ขายกุ้ง บริเวณสนามหลวง และเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2564 กรณีเขียนป้ายผ้า 112 เมตร ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิและสามย่าน

Advertisement

ทั้งสองเหตุการณ์นี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนมากใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุม และควบคุมตัวผู้ชุมนุมบางคนโดยการล็อกข้อมือ ด้วยสายเคเบิลไทด์ และยึดมือถือไปโดยที่ไม่ได้รับความยินยอม ทำให้ผู้ต้องหาไม่ได้รับสิทธิในการติดต่อทนายความ ญาติ และบุคคลที่ไว้วางใจในโอกาสแรกที่ถูกควบคุมตัว

ทั้งนี้ ข้อกล่าวหาที่แจ้งนั้นเป็นความผิดที่มีอัตราโทษน้อย เช่น ความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ซึ่งถูกประกาศใช้ด้วยวัตถุประสงค์ในการควบคุมโรค แต่ถูกนำมาใช้อย่างเข้มงวดกับกลุ่มผู้เห็นต่างทางการเมือง ความผิดตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ และ พ.ร.บ.ความสะอาดฯ เป็นต้น

ระหว่างควบคุมตัวการ์ดวีโว่ไป ตชด.ภาค 1


กรณีที่ 2 การจับตัวประชาชนในยามวิกาล โดยไม่มีเหตุอันสมควร
กรณีนี้ ภาคีฯ พบว่า มีจับกุมโดยมิชอบลักษณะนี้อย่างน้อย 3 กรณีคือ วันที่ 14 มกราคม 2564 ที่มีการจับกุม นิว สิริชัย แนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่หอพักใกล้บริเวณมหาลัยธรรมศาสตร์ ในยามวิกาล

กรณีอาร์ท ทศเทพ การ์ดวีโว่ ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเชิญไปสถานีตำรจภูธรบางแก้ว ตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2564 ถึงวันที่ 17 มกราคม 2564 ซึ่งอาจถือว่า เป็นการควบคุมตัว เกิน 48 ชั่วโมง ตามที่กฎหมายได้ให้อำนาจไว้ ผู้ถูกเชิญตัวเสี่ยงต่อการถูกบังคับให้สูญหาย

กรณีทีมงานฉายไปรเจกเตอร์ใส่ตึกศรีจุลทรัพย์ ถูกนำตัวไปสถานีตำรวจนครบาลสมเด็จเจ้าพระยา ในช่วงกลางดึกของวันที่ 23 มกราคม 2564 โดยตำรวจไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาใดๆ แจ้งแต่เพียงว่า มีพฤติการณ์ต้องสงสัยเท่านั้น พร้อมทั้งทำการค้นตัวและของทุกอย่าง และมีการนำบัตรในกระเป๋าสตางค์ทุกใบ มารียงแล้วถ่ายรูปไว้ ซึ่งตลอดเวลามีการข่มขู่ว่า หากไม่ปฏิบัติตามจะแจ้งข้อหาขัดขืนคำสั่งเจ้าพนักงาน

หรือกรณีล่าสุด ในวันที่ 28 มกราคม 2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน เป็นจำนวนกว่า 10 นาย เข้าจับกุมทีมงานของการ์ดภาคีเพื่อประชาชน โดยแจ้งข้อกล่าวหาว่า เป็นผู้ที่โยนระเบิดที่สามย่าน เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2564 โดยเป็นการเข้าจับกุมผู้ต้องหาที่บ้านพักในยามวิกาล เป็นต้น


กรณีที่ 3 เจ้าหน้าที่รัฐใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ ในการสลายการชุมนุม และควบคุมตัวผู้ชุมนุมที่ใช้สิทธิ เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ เช่น เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2563 กรณีที่การ์ดวีโว่ ได้ทำการรื้อลวดหนามที่กางไว้บริเวณแยกอุรุพงษ์เป็นระยะเวลานาน จนส่งผลให้ประชาชนใกล้เคียงได้รับความเดือดร้อน แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับเข้าใช้กำลังควบคุมตัวการ์ดวีโว่ ตลอดจนการใช้ความรุนแรงกับการ์ดวีโว่ ในกรณีที่ไปขายกุ้ง บริเวณสนามหลวง ก่อนถูกนำตัวไป ตชต.ภาค 1

และล่าสุด เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2564 หน้าสถานีตำรวจนบาลพญาไท เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ความรุนแรงกับมวลชนที่ไปให้กำลังใจเพื่อนที่ถูกควบคุมตัวในสตานีตำรวจ จากเหตุการณ์แขวนป้ายผ้า save บางกลอย จนเป็นเหตุให้ผู้เข้าร่วมบางคนได้รับบาดเจ็บ และเยาวชนหญิงคนหนึ่งหกล้มศรีษะฟาดพื้นได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

จากรณีที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้มีหน้าที่ในการพิทักษ์สันติราษฎร์ ได้นำกฎหมายในมือของตนมากลั่นแกล้งประชาชนด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม ด้วยการใช้พระราชบัญญัติรักษาความสะอาด และความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ.2535 พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 พระราชบัญญัติเครื่องกระจายเสียง รวมถึงพระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่ประเทศใช้เพื่อการควบคุมโรค ซึ่งกฎหมายต่างๆ เหล่านี้ ล้วนเป็นกฎหมายที่เป็นลหุโทษ หรือมีอัตราโทษเพียงเล็กน้อย ซึ่งความผิดเหล่านี้ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจะต้องใช้สนธิกำลังเจ้าหน้าที่จำนวนมากในการเข้าจับกุมหรือควบคุมตัว นำตัวไปที่สถานีตำรวจ มีการใช้เครื่องพันธนาการ อันเป็นการใช้อำนาจหน้าที่เกินสัดส่วน ก้าวล่วงสิทธิเสรีภาพของประชาชน

ทั้งนี้ แม้การจับกุม จะเป็นการจับกุมด้วยข้อหาที่ไม่ร้ายแรง แต่การใช้กฎหมายเล็กๆ น้อยๆ ลักษณะนี้ เป็นการใช้กฎหมายเพื่อกลั่นแกล้งประชาชนให้ต้องได้รับความเดือดร้อนเกินสมควร และเป็นการขัดขวางต่อการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชน ตามที่รัฐธรรมนูญได้บัญญัติไว้อย่างอย่างแรง

พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.
พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.

และวันที่ 28 มกราคม 2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานีตำรวจนครบาลชนะสงคราม มีความเห็นสั่งฟ้องคดีของกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม 19 กันยา ทวงอำนางคืนราษฎร ทั้งๆ ที่ผู้ต้องหาพึ่งทำการไปรับทราบข้อกล่าวหาเพิ่มเติม เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยไม่ได้ให้โอกาสแก่ผู้ต้องหา ที่ร้องขอยื่นคำให้การเป็นหนังสือภายในกำหนดเวลา 30 วัน อีกทั้ง แจ้งว่า หากผู้ต้องหาไม่มาส่งตัวต่อพนักงานอัยการ จะทำการออกหมายจับ และในวันเดียวกัน พนักงานอัยการสำนักงานคดีเยาวชนและครอบครัว 3 ส่งสำนวนคดีฟ้องต่อศาล กรณีนักเรียนเลว ปราศรัยมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2563 บริเวณแยกราชประสงค์ ต่อศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง โดยไม่ได้พิจารณาหนังสือร้องขอความเป็นธรรม ตัดโอกาสผู้ต้องหาที่เป็นเยาวชนในการชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อประกอบสำนวนการพิจารณาสั่งคดีของอัยการ

สังเกตได้ว่า หลังจากที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2564 ในกรณีที่ไปติดตามกรณีกลุ่มการ์ด we Volunteer โดยระบุในทำนองว่า หากจำเป็นต้องใช้กำลังก็สามารถกระทำได้ ให้ใช้กฏหมายในทุกข้อหา ไม่ลังเล สงครามยังไม่จบ อย่าพึ่งนับศพทหาร

และยังแถลงอีกว่า ได้เตรียมพิจารณาดำเนินการทางวินัยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปล่อยปละละเลยให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น การที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกล่าวต่อสาธารณะชนเช่นนี้ ชี้ให้เห็นได้ว่า ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มองกลุ่มผู้ชุมนุมป็นศัตรูในการสงคราม ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเจ้าพนักงานตำรวจ ที่จะต้องให้การคุ้มครองประชาชน และปฏิบัติตามกฎหมาย เพราะในสงครามจะไม่สนใจในเรื่องการปฏิบัติตามกฎหมาย ทำให้เห็นว่า เป็นการส่งเสริมการใช้อำนาจโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เช่น กรณีสงครามยาเสพติด เมื่อปี 2546 พวกเราภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน ขอตั้งคำถามต่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติว่า คำแถลงของท่านนั้นเป็นการส่งสัญญาณการอนุญาตให้ผู้ใต้บังคับบัญชาใช้กำลังกับกลุ่มผู้ชุมนุมทุกรูปแบบใช่หรือไม่ และหากผู้ใต้บังคับบัญชาฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามจะถูกดำเนินการทางวินัยใช่หรือไม่

กรณีที่ 4 การแจ้งความดำเนินคดีกับประชาชนด้วยข้อกล่าวหาที่ร้ายแรง ไม่เป็นธรรม ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เช่น ในกรณีการตั้งข้อหา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 แก่ประชาชนผู้ออกมาใช้สิทธิเสรีภาพในการชุมนุม ซึ่งเป็นข้อหาที่เกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบสุขของประชาชน ซึ่งมีหลายกรณี พฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหาไม่เข้าองค์ประกอบความผิดแต่อย่างใด โดยในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา มีจำนวนคดีกว่า 41 คดี อาทิ กรณีทราย เจริญประ ที่ได้เข้าร่วมการชุมนุมอย่างสงบ และมุก พิมพ์สิริ ที่ขึ้นพูดปราศรัยโดยมีเนื้อหากล่าวถึงรายงานพิเศษของสหประชาชาติในการใช้กฎหมายมาตรา 112 ทั้งสองคนถูกตั้งข้อหาตามประมวลฏหมายอาญา มาตรา 112 และมาตรา 116 จากเหตุการณ์มื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2563 บวิเวณหน้ากรมทหารราบที่ 11

สถานการณ์ชุมนุมบริเวณหน้ากรมทหารราบที่ 11

ด้วยเกียรติภูมิของเจ้าหน้าที่รัฐ พวกเราเชื่อเหลือเกินว่า เจ้าหน้าที่รัฐที่มีหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเพื่อปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชนเป็นสำคัญ และต้องส่งเสริมให้ประชาชนได้ใช้สิทธิตามกหมายบัญญัติรับรองไว้ แต่จากเหตุการณ์ต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น เราเห็นว่า การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐนั้น เป็นไปในทิศทางลิดรอนและทำลายสิทธิเสรีภาพของประชาชน อย่างร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็น การใช้ฏหมายที่มีความรุนแรงเกินกว่าเหตุ กลั่นแกล้งโดยการสร้างภาระให้ประชาชนเกินสมควร ทำให้ประชาชนไม่มีพื้นที่ปลอดภัยในการแสดงออกทางการเมือง แม้จะเป็นการแสดงออกด้วยความสงบ ปราศจากอาวุธก็ตาม สะท้อนถึงความ “ไม่เห็นหัวประชาชน” ที่มุ่งแต่จะบังคับใช้กฎหมาย เพื่อปิดปากประชาชนไม่ให้พูดถึง หรือแสดงออกถึงความล้มเหลวในการบริหารประเทศของรัฐบาล

การออกมาใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออก และสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมของประชาชน เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นในสังคมประชาธิปไตย จำป็นต้องได้รับการปกป้องไม่ให้ถูกทำให้เสื่อมค่า การกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐดังกล่าวข้างต้น เป็นการละเมิดต่อสิทธิ เสรีภาพของประชาชน และลดทอนศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิในวิชาชีพ ในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่พึงรับใช้ประชาชน และละเมิดต่อรัฐธรรมนูญ อันเป็นกฎหมายสูงสุดที่ได้บัญญัติรับรองสิทธิเสรีภาพของประชาชนไว้

ภาคีนักฎหมายสิทธิมนุษยชน ขอประณามทุกความรุนแรงในนามของกฎหมาย ที่เจ้าหน้าที่รัฐได้กระทำต่อประชาชน รัฐต้อง “หยุดการใช้อำนาจเกินสัดส่วนอันเป็นการละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน หยุดใช้ความรุนแรงกับประชาชน และต้องหยุดการดำเนินคดีที่ไม่เป็นธรรมต่อประชาชน” ทันที

ภาคีนักหมายสิทธิมนุษยชนจะไม่เพิกเฉยในอันที่จะเป็นการส่งเสริมให้วัฒนธรรมการพ้นผิดลอยนวล ของเจ้าหน้าที่ดำรงอยู่ต่อไป เจ้าหน้าที่คนใดที่บังอาจกระทำการอันเป็นการละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน จะต้องถูกดำเนินดตีตามหมาย ต้องรับผิดชอบต่อทุกความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประชาชน และเราไม่ยอมรับข้ออ้างของเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยที่ว่า จำเป็นจะต้องกระทำการใดที่ละเมิดต่อประชาชน ด้วยเหตุที่ไม่สามารถขัดคำสั่งของผู้บังคับบัญชาได้ คำสั่งที่ผิดกฎหมาย เมื่อนำมาปฏิบัติก็ย่อมเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายเช่นกัน

ด้วยความเคารพต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
ภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image