ยกฟ้อง3ศาล’อดีตผอ.รพ.วชิรปราการ-ศัลยแพทย์’คดีร่วมฆ่า ผ่าตัดเปลี่ยนไต

คนกลาง-นพ.สิโรจน์ กาญจนปัญจพล อดีตผู้อำนวยการ รพ.วชิรปราการ จ.สมุทรปราการ

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 28 กันยายน ที่ห้องพิจารณา 714 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีหมายเลขดำ ด.1242/2545 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ และนางหนูแดง ดีโยธา กับนายเจริญ ดีโยธา มารดาและบิดาของ น.ส.ลัดดา ดีโยธา เป็นโจทก์ร่วม ยื่นฟ้อง นพ.สิโรจน์ กาญจนปัญจพล อดีตผู้อำนวยการ รพ.วชิรปราการ จ.สมุทรปราการ, นพ.วีระเดช เลิศดำรงลักษณ์ ศัลยแพทย์, นายนันทวิทย์ ธงไชย อดีตผู้จัดการ รพ.วชิรปราการ และ นพ.วิวัฒน์ ถิระพานิช ศัลยแพทย์ เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม

คดีนี้อัยการโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2545 ระบุว่า เมื่อวันที่ 24-26 กุมภาพันธ์ 2540 จำเลยร่วมกันปลอมเอกสารหนังสืออุทิศให้อวัยวะของ รพ.วชิรปราการ โดยให้นายเจริญ ดีโยธา และนายสมเกียรติ ตันชนะชัย พ่อและสามีของ น.ส.ลัดดา ดีโยธา ผู้ป่วยอุบัติเหตุรถชน ลงลายมือชื่อไว้ ต่อมา นพ.สิโรจน์ จำเลยที่ 1 และนพ.วิวัฒน์ จำเลยที่ 4 ร่วมกันผ่าตัดเอาไตทั้งสองข้างและตับของคนไข้ทั้งสองออกไป และนพ.สิโรจน์ กับ นพ.วีระเดช จำเลยที่ 1-2 ยังร่วมกันผ่าตัดเอาไตของนางนาง นงค์พรมมา ผู้ป่วยอุบัติเหตุรถชนออกไป ขณะที่คนไข้ทั้งสองยังใส่เครื่องช่วยหายใจและยังไม่ถึงแก่ความตาย เพื่อนำไปปลูกถ่ายอวัยวะให้ผู้ป่วยรายอื่น เป็นเหตุให้คนไข้ทั้งสองถึงแก่ความตาย เหตุเกิดเมื่อปี 2540 หลังเกิดเหตุ ญาติของคนไข้ที่เสียชีวิต เข้าร้องเรียนต่อกองปราบปรามให้ดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องดังกล่าว

ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2548 ให้ยกฟ้องจำเลยทั้งหมด เนื่องจากเห็นว่า แม้หนังสืออุทิศอวัยวะ จะมีการเติมข้อความด้วยลายมือว่า “ตับ” ลงในเอกสาร แต่พยานโจทก์ไม่ได้ยืนยันในรายละเอียดว่าเหมือนลายมือของ นพ.สิโรจน์ จำเลยที่ 1 จึงมีข้ออันควรสงสัยว่าจำเลยที่ 1 จะเป็นผู้เขียนข้อความดังกล่าวลงในหนังสืออุทิศอวัยวะของคนไข้ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้แก่จำเลยที่ 1 ในข้อหาปลอมและใช้เอกสารปลอม ส่วนในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานนำสืบให้เห็นว่า มีการใช้ยาหรือมีการทำโดยประการใดๆ ของพวกจำเลย ทำให้คนไข้ทั้งสองแกนสมองตายโดยเจตนา ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า คนไข้ทั้งสองถึงแก่ความตายแล้ว ก่อนที่จะมีการผ่าตัดนำอวัยวะ (ไตและตับ) ออกไป ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2553 จากนั้นอัยการโจทก์และโจทก์ร่วมยื่นฎีกา

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า โจทก์ร่วมฎีกาถึงปัญหาการเสียชีวิตตามกฎหมาย ศาลเห็นว่า การตายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ต้องเป็นการทำให้ตาย แต่ไม่มีกฎหมายใดบัญญัติลักษณะการตายไว้ชัดแจ้ง จึงต้องให้แพทย์เป็นผู้วินิจฉัยการตาย ซึ่งแพทยสภามีการออกประกาศเกี่ยวกับการวินิจฉัย โดยมีประเด็นเรื่องแกนสมองถูกทำลายจนสิ้น ไม่สามารถทำให้ระบบหัวใจทำงานได้และร่างกายขาดออกซิเจน หากขาดเครื่องช่วยหายใจ ร่างกายจะขาดการตอบสนอง กรณีของผู้ป่วยทั้งสอง แพทย์ได้ตรวจถึง 2 ครั้ง ทิ้งช่วงเวลาห่างกัน 10 ชั่วโมง พบว่าผู้ป่วยไม่หายใจทั้งสองครั้ง จึงลงความเห็นในบันทึกว่าแกนสมองถูกทำลายโดยสิ้นเชิง และก่อนผ่าตัดอวัยวะวิสัญญีแพทย์ได้ตรวจแล้วผู้ตายไม่หายใจ การที่จำเลยที่ 1, 2 และ 4 ร่วมกันผ่าตัดเอาไตออกจากผู้เสียชีวิตทั้งสองที่อยู่ในสภาวะสมองตายตามการวินิจฉัยของแพทย์ ตามหลักเกณฑ์ของแพทยสภา ถือเป็นการกระทำต่อคนตายแล้ว จึงไม่อาจเป็นการฆ่าได้อีก ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย พิพากษายืน

Advertisement

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้อัยการโจทก์และโจทก์ร่วมไม่ได้เดินทางมาศาล ขณะที่ นพ.สิโรจน์ เดินทางมาพร้อมคนใกล้ชิดที่มาให้กำลังใจและร่วมฟังคำพิพากษาด้วย โดย นพ.สิโรจน์ ปฏิเสธให้ความเห็นเกี่ยวกับคดี มีเพียงทนายความที่กล่าวว่า หมอได้พิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่ทำถูกต้อง เพราะหมอเรียนมาเพื่อช่วยชีวิตคน ไม่ใช่ทำร้ายคน 20 ปีที่ผ่านมาหมอเป็นทุกข์ แต่ศาลได้ให้ความยุติธรรมแล้ว

ด้าน นพ.วีระเดชกล่าวสั้นๆ ว่า “เรียบร้อยดีครับ”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image