นักธุรกิจถูกนำรูปใช้เป็นโปรไฟล์ฉ้อโกง เดือดร้อนหนัก เผยหวาดกลัวเหยื่อถูกหลอกทำร้าย ไปไหนต้องมีคนติดตาม

ผู้เสียหายจากสาวที่เคยหลอกนัท โอนไว เข้าพบผู้ต้องหาที่ สอท. เผยได้รับความเดือดร้อนและหวาดกลัวอย่างมาก

เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม น.ส.ขวัญฤดี หรือคุณโบนัส นักธุรกิจ ซึ่งเป็นผู้เสียหายถูกนางนันท์นลิล ภควัตสุวรรณ หรือผึ้ง อายุ 35 ปี นำรูปไปใช้ ใช้โปรไฟล์เพื่อฉ้อโกง หลอกลวงชายหนุ่มจำนวนมากให้โอนเงินให้ รวมทั้ง “นัท โอนไว” ได้เข้าพบพนักงานสอบสวนกองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือตำรวจไซเบอร์ เพื่อชี้ตัวผู้ต้องหา หลังถูกจับกุมได้เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พร้อมขอบคุณตำรวจชุดจับกุม

โดย น.ส.ขวัญฤดีเปิดเผยว่า ได้รับแจ้งว่ามีการนำรูปไปทำการหลอกลวงในแอพพ์หาคู่ตั้งแต่ปี 2563 โดยผู้ต้องหาจะลอกเลียนแบบรูปโปรไฟล์ ไลฟ์สไตล์ ชีวิตประจำวัน การทำขนมของตนทุกอย่าง ยกเว้นชื่อ เพื่อนำไปสร้างความน่าเชื่อถือให้ผู้ชายหลงเชื่อ ทุกครั้งที่คุยกับเหยื่อก็จะใช้รูปของตนเองในอิริยาบถต่างๆ ประกอบ เชื่อว่าผู้ต้องหามีรูปของตนเองเซฟเก็บไว้กว่า 500 รูป ซึ่งมักจะเป็นรูปที่เมื่อก่อนตนเคยโพสต์ลงเฟซบุ๊กและไอจีส่วนตัว นอกจากนี้ ผู้ต้องหายังใช้รูปตนไปหลอกขายขนม แต่ไม่ส่งขนมให้ลูกค้า เมื่อถูกลูกค้าทวงถามก็จะอ้างว่ามีปัญหาชีวิต ถูกทำร้าย จะฆ่าตัวตาย เพื่อไม่ให้ลูกค้ากล้าทวงถามอีก

ต่อมาเมื่อเหยื่อที่โดนหลอกนำรูปของตนไปโพสต์ในโซเชียลมีเดียเพื่อเตือนภัย ทำให้ได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก ทุกครั้งที่เดินทางต้องมีผู้ติดตาม และไม่กล้าโพสต์รูปในโซเชียลมีเดียอีก ส่วนตอนนี้คลายความกังวลแล้วบางส่วน เนื่องจากไม่แน่ใจว่าผู้ต้องหาจะได้รับการประกันตัวออกมาก่อเหตุอีกหรือไม่

Advertisement

ต่อมา น.ส.ขวัญฤดีได้เข้าไปคุยกับผู้ต้องหา โดยให้สัมภาษณ์อีกครั้งว่า ไม่เชื่อถือคำพูดของผู้ต้องหาที่ว่ารู้สึกผิดและจะไม่กระทำอีก ผู้ต้องหากล่าวว่าไม่มีเจตนาร้าย ที่กระทำไปเป็นเพราะชื่นชอบตนที่สวย และเก่ง ความจริงควรเลิกการกระทำนี้ตั้งแต่ครั้งที่ก่อคดีโดยใช้รูปภาพของตนหลอกนายสรฉัตร สงวนนามสกุล หรือ “นัท โอนไว” ผ่านแอพพลิเคชั่นหาคู่ หลอกเอาเงินไปรวมนับแสนบาท ก่อนที่นายสรฉัตรจะเข้าแจ้งความกับ สภ.จันทบุรี เมื่อปี 2561

น.ส.ขวัญฤดีกล่าวว่า ผู้ต้องหาทำให้ตนหวาดกลัวเป็นอย่างมาก มีผู้ติดตาม รู้สึกหวาดกลัวว่าเหยื่อที่ถูกหลอกจะมาทำร้ายตน แต่ทางผู้ต้องหาไม่กล่าวอะไรเลย

ด้าน พล.ต.ต.รณชัย จินดามุข ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 เปิดเผยว่า สาเหตุที่การสืบสวนในคดีดังกล่าวมีความล่าช้า เนื่องจากต้องใช้เวลาสืบสวนหาพยานบุคคลที่ถูกผู้เสียหายหลอกมาสอบปากคำเพิ่มเติม เบื้องต้นจากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าได้หลอกลวงเหยื่อผู้ชายให้โอนเงินให้แล้ว 5 คน รวมเป็นเงินกว่า 4 แสนบาท โดยเงินที่ได้จะนำไปใช้จ่ายซื้อสิ่งของส่วนตัว ไม่ได้โอนย้ายเงินต่อไปยังบัญชีบุคคลอื่น แต่มีการใช้บัญชีของผู้อื่นเป็นบัญชีรับเงินจากเหยื่อ ส่วนสามีของผู้ต้องหาได้สอบปากคำแล้ว พบว่าไม่ทราบเรื่องที่ภรรยากระทำความผิด หลังจากนี้ก็จะนำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน สน.ทุ่งสองห้อง ดำเนินคดีใน 3 ข้อหาคือ ความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพ์ มาตรา 14(1) นำเข้าข้อมูลเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์/ความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพ์ มาตรา 16 และความผิดตาม ป.อาญา 341 และ 342 (1) ฐานฉ้อโกง

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image