อัจฉริยะ พกหลักฐานร้องสอบ ‘คราบเลือด’บนเรือใหม่ เชื่อเป็นของแตงโม จ่อทยอยเปิดคลิปแฉ

“อัจฉริยะ” โร่ ร้องกมธ.สิทธิมนุษยชนฯ วุฒิสภา ประสานก.ยุติธรรม–ดีเอสไอ สอบคราบเลือดแตงโมบนเรือใหม่ เผย เดินหน้าปฏิบัติการโดรนใต้น้ำค้นหามีดในเจ้าพระยา จ่อทยอยเปิดคลิปแฉ ‘ไป 6 กลับ 5’

เมื่อเวลา 09.55 น. วันที่ 23 พฤษภาคม ที่รัฐสภา นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม กล่าวว่า วันนี้ตนเดินทางมายื่นหนังสือถึงกรรมาธิการ (กมธ.) สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา เพื่อขอความเมตตาให้ช่วยประสานนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม หรืออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ไป ตรวจคราบเลือดเรือลำที่เกิดเหตุใหม่ เนื่องจากมีหลักฐานสำคัญที่เชื่อว่าถ้าตรวจสอบใหม่อีกครั้งจะพบคราบเลือดของน.ส.ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ หรือแตงโม

เมื่อถามว่า หลักฐานสำคัญคืออะไร นายอัจฉริยะ กล่าวว่า เมื่อวานนี้ (22 พฤษภาคม) ที่นายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความของนางภนิดา ศิระยุทธโยธิน แม่แตงโม ให้สัมภาษณ์ว่าเขากลับคุณแม่มีหลักฐานมาแล้วว่าแตงโมถูกทำร้ายร่างกายบนเรือ ในฐานะทนายความเมื่อทราบแล้วถามว่าทำไมไม่คุยกับตำรวจว่าคดีนี้ไม่ใช่การประมาท แต่เป็นคดีที่มีการทำร้ายร่างกายกัน และมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน ทำไมถึงไม่ทำหน้าที่ทนายความที่ดี ทำไมต้องให้ตนมาเปิด สิ่งที่กำลังทำอยู่ขณะนี้ยังมีเรื่องที่ต้องทำอีกหลายขั้นตอน เช่นการจะนำหลักฐานไปมัดผู้ต้องหาทั้งหมด ต้องเจอคราบเลือด มีด และอื่นๆ หรือเจอวัตถุพยานที่สำคัญที่จะมัดตัว ซึ่งภาพกับคลิปเรามีอยู่แล้ว เพียงแต่เราจะมัดเขาอย่างไร เพราะเดี๋ยวเขาก็อ้างว่าเป็นภาพตัดต่อก็ได้

นายอัจฉริยะ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ในสัปดาห์นี้เราจะมีปฏิบัติการโดรนใต้น้ำ โดยจะเริ่มตั้งแต่สะพานซังฮี้ไปถึงสะพานพระราม 8 เพื่อหาวัตถุพยานคือมีด ส่วนเรื่องคลิปคาดว่าวันพรุ่งนี้ (24 พฤษภาคม) น่าจะมีการเปิดเผยออกมาบ้าง โดยใช้หัวข้อว่าไป 6 กลับ 5 ซึ่งสิ่งที่เรากำลังจะเปิดกับตำรวจมันคนละเรื่องเลย วันนี้เราไม่ได้มาส่งหลักฐานให้กมธ. แต่แค่มายื่นเรื่องให้ช่วยประสานกับดีเอสไอ เพื่อขอให้ตรวจสอบเรื่องคราบเลือดบนเรือเท่านั้น ซึ่งจะพิสูจน์ได้ว่าหากวันนี้ดีเอสไอไม่ยอมไปตรวจคราบเลือดให้เรา หมายความว่าเขาก็ไม่รับเราเป็นคดีพิเศษอยู่แล้ว โดยเราได้ยื่นหนังสือกล่าวโทษไปแล้วว่าคนบนเรือฆาตกรรมอำพราง มันก็จะได้วัดกันไปเลย เพราะตนไม่เชื่ออยู่แล้วว่าไม่มีคราบเลือด ตนเชื่อว่ามี เพราะ 1 ใน 5 คนบนเรือได้มีการบอกเราอยู่แล้วที่มีการมาเจอกันว่าเลือดอยู่ตรงไหน ดังนั้น ถ้ามีการตรวจคราบเลือดใหม่ ตนเชื่อว่าถึงแม้เรือจะตากแดดตากฝน หรือใช้น้ำยาล้างก็น่าจะมีหลงเหลืออยู่

Advertisement

เมื่อถามว่า คลิปที่จะเปิดนั้นบอกได้เลยหรือไม่ว่าเป็นการฆาตกรรมอำพราง นายอัจฉริยะ กล่าวว่า ตนเอาแค่ว่าไป 6 กลับ 5 และช่วงเวลาที่ตกเรือก็ไม่ใช่เวลาที่ตำรวจพูด แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว อย่างน้อยก็ทำให้ตำรวจที่มาแถลงข่าวเมื่อวันที่ 26 เมษายน ก็เป็นเฟกนิวส์ทั้งนั้น ไม่ได้เกิดจากเรื่องจริง แต่เป็นเรื่องมโน โดยใช้นิติไสยศาสตร์ ไม่ใช่นิติวิทยาศาสตร์ และที่อ้างว่ามีผู้เชี่ยวชาญทางภาพ ตนก็จะเปิดหลักฐานให้ดูแล้วว่าคนที่ทำภาพก็มาเรียนกับตน

ถามต่อว่า คลิปนี้ไม่ได้อยู่ในสำนวนของตำรวจแล้วใช่หรือไม่ นายอัจฉริยะ กล่าวว่า ความจริงตำรวจเห็นอยู่แล้ว แต่เขาไม่ทำให้ตรงไปตรงมา วันนี้ตนยังยืนยันว่าตำรวจภาค 1 ไม่ทำอย่างตรงไปตรงมา แต่ไม่ได้เกิดการทุจริตในการรับเงินรับทอง แต่เนื่องจากไม่ทำอย่างตรงไปตรงมา หรืออาจจะเพราะเขาฝีมือไม่ถึงก็ได้ ซึ่งตนยังมองไม่ออก แต่ในส่วนของเรามีหน้าที่พิสูจน์ความจริงว่าสิ่งที่คนบนเรือพูดไม่มีความน่าเชื่อถือ และเป็นเรื่องของการให้การเท็จต่อเจ้าพนักงาน เราจะพิสูจน์ให้เห็นว่าเมื่อคน 1 ใน 5 จะพูดออกมาแล้ว โดยเราจะทำให้ทุกคนเห็นที่ละชิ้นๆ แต่คงใช้เวลาไม่นาน

เมื่อถามว่า หากดีเอสไอไม่รับเป็นคดีพิเศษจะเดินหน้าอย่างไร นายอัจฉริยะ กล่าวว่า ตนไม่รู้ แต่อย่าเพิ่งไปคาดเดา เพราะตอนนี้อยู่ระหว่างการสอบผู้เชี่ยวชาญของเราจำนวน 2 ปาก แต่ยังมีผู้เชี่ยวชาญอีกมากมายที่ยังไม่ได้ถูกสอบ ถ้าเขายอมไปตรวจคราบเลือดให้เราก็จะแสดงให้เห็นถึงความจริงใจที่เขาต้องการทำคดีให้เรา ถ้าดีเอสไอไม่รับตรวจเรือแล้วคุณจะมาสอบเราทำไม ถ้าเขาจริงใจต้องไปทำ ถ้าเขาไม่จริงใจรับคดีเรา ถ้าเขาไม่ทำ 99.9% แสดงว่าอธิบดีดีเอสไอเกรงใจตำรวจ

Advertisement

เมื่อถามว่า ตอนนี้แม่ของแตงโมเริ่มเชื่อแล้วว่าเป็นการฆาตกรรม นายอัจฉริยะ กล่าวว่า ตนยังไม่อยากให้คุณแม่เชื่อตนขนาดนั้น เพราะเดี๋ยวจะไปกระทบจิตใจคนอื่นอีก แต่ตนมีหน้าที่พิสูจน์ความจริงให้คนอื่นได้เห็น ส่วนทนายความก็ควรทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ไม่ใช่ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่ารู้แล้วว่ามีภาพและคลิปที่มีการซ้อมแตงโม แล้วทำไมไม่คุยกับตำรวจหรือมอบให้อัยการ โดยมีสาเหตุจูงใจมาจากการทะเลาะเบาะแว้งกัน ซึ่งเป็นมูลเหตุจูงใจอยู่แล้วว่าเหตุผลนี้ทำให้มีการฆาตกรรมอำพรางได้ นั่นคือหน้าที่ของทนายความที่ดี ไม่ใช่มาเห่าหอนทุกวันโดยไม่ทำหน้าที่ของทนายความ

เมื่อถามว่า อีกไม่กี่วันอัยการจะสรุปสำนวณอีกครั้ง นายอัจฉริยะ กล่าวว่า เขายังไม่สั่งฟ้องในวันที่ 27 พฤษภาคม ตามที่นายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือทนายเดชา พูด เพราะเขาต้องทำให้ละเอียดรอบคอบ ถ้าเกิดอีก 2 วันมีภาพออกมาว่ามีการทำร้ายร่างกายแล้วจะบอกว่าเป็นการประมาทได้อย่างไร โดยอัยการยังมีเวลาอีก 24 วัน หากจะส่งฟ้องวันสุดท้ายก็ยังทัน ดังนั้น ไม่ต้องรีบ ตนเชื่อว่าอัยการนนทบุรีเป็นคนที่ละเอียดรอบคอบและทำคดีนี้ให้ดีที่สุดในชีวิต เพราะเป็นคดีประวัติศาสตร์ คงไม่นำชื่อเสียงมาแลกกับเรื่องแบบนี้ ทั้งนี้ตนบอกเลยว่าคดีนี้เขาสู้แน่นอน เขาไม่ยอมรับสารภาพ แม่อาจจะไม่ได้เงินในคดีนี้ เพราะมีเหตุสงสัยเยอะในคดีประมาท เรือลำเดียวกัน ประมาททั้ง 5 คนนั้นเป็นไปไม่ได้ ถามว่าจ็อบประมาทอย่างไร เพราะเป็นแค่คนชงเหล้าแล้วนั่งดู ความจริงตนสงสารครอบครัวนายจ็อบ เพราะเขาเป็นเพียงลูกจ้างคนหนึ่งที่ไปอยู่ในเรือ และไม่รู้อิโหน่อิเหน่และต้องมานั่งทนเหตุภาพต่างๆ ตนยังยืนยันว่าควรจะไปคุยกับครอบครัวให้ดี เพราะวันนี้เราเป็นจำเลย แต่ยังกลับมาเป็นพยานได้ สิ่งที่เกิดขึ้นบนเรือคนนั่งอยู่ข้างหน้าเห็นใครทำร้ายแตงโม

เมื่อถามว่า ใกล้ถึงวันฌาปณกิจของแตงโมแล้ว จะมีอะไรเกิดขึ้นอีกหรือไม่ นายอัจฉริยะ กล่าวว่า ผลของนิติเวชครั้งแรกตนไม่เชื่อ เพราะเป็นการนำวัตถุปนเปื้อนมาทำ และไม่เคยมีใครในโลกและประเทศไทยที่หมอคนไหนเอาใบพัดเรือที่มีสารปนเปื้อน ไปทำกับขาแตงโมและบาดแผลจุดต่างๆก็มีความแปลก การเปลี่ยนแปลงสภาพจากผลตรวจเบื้องต้นของสถาบันนิติวิทยาศาตร์ กระทรวงยุติธรรมมาที่โรงพยาบาลตำรวจ อยู่ในการควบคุมของคนมีสี ฉะนั้นความน่าเชื่อถือของบาดแผลด้านขวาเป็นเฟคนิวส์อยู่แล้วที่นำมายืนยันว่าเกิดจากใบพัดเรือ ตนทราบอยู่แล้วว่าคุณไปทำอะไรต่างๆ ดังนั้น จึงไม่มีความน่าเชื่อถือตั้งแต่แรก อีกทั้งการที่ไปตรวจร่ายกายคนบนเรือทั้งที่มีบาดแผลแต่กลับไม่ตรวจสอบให้สิ้นสงสัยว่าเกิดจากอะไร ทั้งที่คุณเป็นหมอนิติเวช

ด้าน นายสมชาย แสวงการ ส.ว. ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา กล่าวว่า ตนจะนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่ระบบวุฒิสภา เพื่อลงเลขรับว่ามีการยื่นเรื่องซ้ำซ้อนหรือไม่และจะพิจารณาในการประชุมครั้งถัดไป ส่วนการดำเนินการมากน้อยเพียงใดนั้น กมธ.จะยึดตามหลักกฎหมาย หน้าที่ของกมธ. และรัฐธรรมนูญ รวมถึงยึดหลักความถูกต้องเป็นธรรม โดยจะไม่แทรกแซงก้าวก่าย เมื่อมีคนร้องมาก็จะดูว่าเราสามารถส่งไปให้หน่วยงานที่รับผิดชอบได้หรือไม่ กมธ.ไม่ได้มีหน้าที่ไปสั่งการ แต่มีหน้าที่ในการประสาน ซึ่งจะได้ผลเป็นอย่างไรจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image