‘ทนายสงกานต์’พาญาติแพะรับจ้างติดคุกร้องรองปลัด ยธ.ขอรื้อคดีใหม่ ยอมรับผิดข้อหาแจ้งเท็จ

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 8 ธันวาคม ที่ศูนย์บริการร่วม กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) นายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ทนายความและประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลาย ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และคณะทำงานฝ่ายกฎหมาย พร้อมนางวิกุล โพธิ์ชัย ชาวจ.มุกดาหาร เข้าพบนายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษกกระทรวงยุติธรรม เพื่อขอความเป็นธรรมกรณีนายชวนณรงค์ คำปาน สามีนางวิกุล ถูกหลอกให้รับผิดในคดีครอบครองไม้พะยูง โดยได้ค่าจ้าง 200,000 บาท เพื่อแลกกับการเป็นผู้ต้องหารับสารภาพ และขอให้ดำเนินคดีนายชวนณรงค์ตามความเป็นจริง ในฐานแจ้งความเท็จและความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมถึงให้รื้อคดีไม้เถื่อนรายใหญ่ของประเทศ โดยขอให้กระทรวงยุติธรรมและกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รับเป็นคดีพิเศษ เนื่องจากผู้ต้องหาทั้งหมดเป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ และเป็นผู้กว้างขวาง

นายสงกานต์กล่าวว่า นายชวนณรงค์ถูกดาบตำรวจ ชื่อเล่น ยาว หลอกลวงให้ไปรับจ้างติดคุกแทนนายทุน คดีตั้งโรงงานแปรรูปไม้เถื่อนรายใหญ่ โดยให้แสดงตัวเป็นเจ้าของไม้แปรรูปดังกล่าว ดาบตำรวจแจ้งว่าติดคุกเล็กน้อยเพราะนายชวนณรงค์ไม่เคยทำผิดมาก่อน โดยว่าจ้างเป็นเงิน 200,000 บาท จ่ายเงินแล้ว100,000 บาท ส่วนที่เหลือจะทยอยให้ โดยหวังว่าจะนำเงินมารักษาอาการป่วยโรคประจำตัว แต่ปรากฏว่าเมื่อนำตัวส่งฟ้องศาล จึงทราบความจริงว่าเป็นโรงงานไม้แปรรูปขนาดใหญ่ มีทั้งไม้พะยูง และไม้มะค่า รวมกว่า 800 ท่อน มูลค่ามหาศาล อีกทั้งโรงงานไม้แปรรูปดังกล่าว เคยถูกจับกุมเมื่อปี 2557 เป็นข่าวใหญ่ จึงทำให้นายชวนณรงค์ทราบว่าถูกดาบตำรวจหลอกและไม่ใช่เรื่องเล็กแล้วคดีนี้ศาลพิพากษาจำคุก 8 ปี 6 เดือน ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพจึงลดโทษลงเหลือ 4 ปี 3 เดือน โดยขณะนี้นายชวนณรงค์ติดคุกอยู่ในเรือนจำมุกดาหารมาแล้ว 5 เดือน

นายสงกานต์กล่าวต่อว่า หลังจากทราบว่านายชวนณรงค์ถูกหลอก นางวิกุลจึงเดินทางไปยื่นเรื่องร้องเรียนยังหน่วยงานต่างๆ ทั้งสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงมหาดไทย (มท.) และผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร แต่ยังไม่มีความคืบหน้า เพราะมีรายละเอียดจำนวนมาก อีกทั้งคดีอยู่ระหว่างการอุทธรณ์ อย่างไรก็ตาม หลังเกิดเรื่องศาลจังหวัดมุกดาหารได้เรียกนายชวนณรงค์มาไต่สวนเบื้องต้นว่าเป็นอย่างไร ดังนั้น กรณีนี้มีด้วยกัน 3 ส่วน คือ 1.ผู้กระทำความผิดตัวจริง 2.ผู้ใช้จ้างวานให้สามีของนางวิกุลมารับผิด และ 3.สามีของนางวิกุลที่จะต้องถูกดำเนินคดีด้วย จึงเดินทางมาร้องขอความเป็นธรรมต่อนายธวัชชัย เพื่อสั่งให้สอบสวนข้อเท็จจริง

“ในวันนี้ป้ากับลุงบอกเสมอว่ายอมรับผิด และยอมรับโทษทางอาญาในเรื่องของการแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน โดยให้จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการหรือมหาชน และเบิกความเท็จในเรื่องของการพิจารณาคดีอาญา” นายสงกานต์กล่าว และว่า กระบวนการหลังจากนี้ต้องร้องทุกข์กล่าวโทษไว้ หากผู้ใดเป็นผู้จ้างงาน หรือนายทุนโรงงานไม้แปรรูปตัวจริงจะได้ดำเนินคดี เพราะเป็นความผิดที่ไม่อาจยอมความได้ ทั้งนี้เรามีหลักฐานการโอนเงินอยู่ด้วย และภรรยาของดาบตำรวจยังมีการโทรศัพท์มาข่มขู่นางวิกุลด้วย

Advertisement

ด้าน นายธวัชชัยกล่าวว่า เรื่องของการรับจ้างติดคุกเราได้ยินอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่มีพยานหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่ามีการรับจ้างติดคุกจริง ถือเป็นกรณีแรกที่เจ้าตัวออกมายอมรับความจริง ส่วนประเด็นที่ ยุติธรรม จะเข้าไปเกี่ยวข้องในเรื่องนี้คือจะให้ดีเอสไอรับไปตรวจสอบรายละเอียดว่าจะสามารถดำเนินการได้มากน้อยแค่ไหน นอกจากนี้จะดูเรื่องของเงินค่าจ้างทนายความไปช่วยเหลือในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม นายชวนณรงค์จะต้องถูกดำเนินคดีด้วยแน่นอน ทั้งในเรื่องการแจ้งความเท็จ และเบิกความอันเป็นเท็จในคดีอาญา โทษจำคุก 7 ปี ปรับไม่เกิน 14,000 บาท หากยอมรับสารภาพจะลดโทษหรือไม่อยู่ที่ศาลจะใช้ดุลพินิจ

นายธวัชชัยกล่าวต่อว่า สถาบันศาลเป็นสิ่งที่น่าเห็นใจมาก เพราะอยู่ดีๆ จำเลยรับสารภาพ แน่นอนไม่มีการต่อสู้ในกระบวนการไต่สวนหรือสืบพยานจะไม่มีอยู่แล้ว สามารถตัดสินได้เลย แต่กระบวนการแบบนี้ทำให้กระบวนการยุติธรรมเสียหายมาก ดังนั้น เห็นว่ากระบวนการที่ทำให้เกิดความเสียหายคือกระบวนการตั้งต้น ปัญหาในขณะนี้การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมเรื่องใหญ่ คือการแยกพนักงานสืบสวนกับสอบสวนออกจากกัน เพราะถ้าเราแยกสืบสวนกับสอบสวนออกจากกัน จะไม่สามารถไปก้าวก่ายกันได้ สั่งคดีไม่ได้ ถือว่าการสั่งรวมแบบนี้เป็นการถอยหลังมา 30 ปีในกระบวนการยุติธรรม ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำขณะนี้ เรื่องการปฏิรูปตำรวจเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำและได้ให้ข้อสังเกตเรื่องนี้ไปแล้วหลายเรื่อง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image