แค้นเต็มอก! สาวกับแม่อายุมาก ต้องนอนคุก 7 วัน หลังถูกนายทุนเอาที่ไปขายจนถูกขับไล่ ออกมาสู้คดีต่อ สุดท้าย คู่กรณี ‘นายทุน’ โป๊ะแตก สวมชื่อคนไทย ตร.ออกหมายจับแล้ว
เจ้าของร้านอาหารสุมไฟแค้น เผยถูกนายทุนเล่นกลยึดที่ดินขายฝาก ไปขายต่อคนอื่นให้มาฟ้องขับไล่ตัวเองและแม่อายุมาก นอนเรือนจำ 7 วัน ประกันตัวออกมาสู้คดี พร้อมสืบค้นประวัตินายทุน แจ๊กพ็อตพบเชื้อสายเวียดนาม สวมชื่อคนไทยที่ อ.เมืองหนองคาย ร้องจนอธิบดีกรมการปกครองจำหน่าย และดำเนินคดี หมายจับออกมากว่า 6 เดือน สอบสวนกลางมาจับเอง ได้คาบ้านอดีตปลัดอำเภอ สอบ 5 ชม.ให้ประกัน
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 5 พฤษภาคม 2566 พ.ต.ต.อาธิรัตน์ ทิพย์เจริญ สว.กก.3บก.ป. ร.ต.ต.วิชาญ จ้อยเสนา รอง สวป.กก.3 บก.ป. และ ด.ต.ประคอง พันระกา กก.3 บก.ป. พร้อม ร.ต.ต.ทัศน์ชัย กุลศัตยาภิรมย์ รอง สว.ป.กก.6 บก.ปปป. พร้อมหมายจับศาล จ.อุดรธานี เลขที่ จ.312/2565 ลงวันที่ 4 พฤศจิกายน 2565 เข้าทำการจับกุม นายกิตตินันท์ สุนทราภิราม หรือสเตเฟน อายุ 55 ปี ชาว ต.สันปูเลย อ.ดอยสะเก็ต จ.เชียงใหม่ ที่หมู่บ้านรุ่งเรืองนาดี หมู่ 4 ต.หมากแข้ง อ.เมือง จ.อุดรธานี โดยมี นางณิชาภัทร สว่างขจร หรือ ป.ต๋อม อดีตปลัดอำเภอ เจ้าพนักงานปกครองชำนาญการ อ.กุดจับ จ.อุดรธานี เป็นเจ้าของบ้าน ร่วมรับทราบการจับกุม
กล่าวหากระทำความผิดฐาน “ใช้หรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จ เพื่อให้ตนเองมีรายการอย่างหนึ่งอย่างใด ในทะเบียนบ้านหรือเอกสารทะเบียนราษฎรอื่นโดยมิชอบ, แจ้งข้อความหรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จ ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในการขอมีบัตรใหม่, แจ้งความอันเป็นเท็จต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนได้รับความเสียหาย และแจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่กระทำตามหน้าที่ จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน” โดยการสวมชื่อชายไทยที่เสียชีวิตไปแล้ว ผู้ต้องหารับว่ามีชื่อตรงกับหมายจับจริง แต่ให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา
พ.ต.ต.อาธิรัตน์ ทิพย์เจริญ สว.กก.3 บก.ป. พร้อมตำรวจชุดจับกุม ได้ควบคุมตัวนายกิตตินันท์ สุนทราภิราม หรือสเตฟาน มาที่ว่าการอำเภอเมืองอุดรธานี ส่งมอบผู้ต้องหาให้กับ น.ส.รัชนี นารินทรักษ์ ปลัดอำเภอ เจ้าพนักงานปกครองชำนาญการ หน.ฝ่ายสถานะบุคคลและสัญชาติ อำเภอเมืองอุดรธานี พนักงานสอบสวนเจ้าของคดี โดยมีนางณิชาภัทร สว่างขจร หรือ ป.ต๋อม อดีตปลัดอำเภอ เจ้าพนักงานปกครองชำนาญการ อ.กุดจับ จ.อุดรธานี เป็นเจ้าของบ้าน ร่วมเดินทางมาด้วย
ขณะเดียวกัน น.ส.ลีลาวดี อายุ 53 ปี เจ้าของร้านอาหารลีลาวดี อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู คู่ความของนายกิตตินันท์ สุนทราภิราม หรือสเตฟาน เดินทางมาที่ว่าการอำเภอเมืองอุดรธานี ที่ติดตามสืบค้นข้อมูล และร้องเรียนไปหลายหน่วยงาน ว่านายกิตตินันท์เป็นคนต่างด้าวเชื้อสายเวียดนาม มาสวมบัตรประชาชนเป็นคนไทย แล้วมาประกอบอาชีพรังแกคนอื่น โดยมาแสดงตัวขอคัดค้านการประกันตัว เกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี และให้ดำเนินคดีกับผู้ให้ที่พักพิงด้วย
น.ส.ลีลาวดีเปิดเผยว่า ตนได้กู้เงินมาจากนายทุน เพื่อต่อเติมสร้างร้านอาหารลีลาวดี ที่ อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู เป็นเงิน 450,000 บาท รวมดอกเบี้ยแล้วเป็น 1.1 ล้าน ต่อมาปลายปี’57 รู้จักกับนายกิตตินันท์ หรือสเตฟาน ทำธุรกิจรับขายฝากที่ดิน ก็เลยเอาโฉนดแปลงแรก ซึ่งเป็นที่ตั้งร้านไปขายฝากด้วย จะได้เป็นเจ้าหนี้แทน ต่อมาเอาโฉนดแปลงที่สองไปขายฝากเพื่อต้องการเงินอีก 1 ล้านบาท ในช่วงรอธนาคารอนุมัติเงินกู้ ให้ แต่เขาให้เงินเพียง 4 แสนบาท
“นายกิตตินันท์ได้สร้างเจ้าหนี้ปลอม เพื่อต้องการเอาที่ดินของเรา จนเวลาล่วงเลยหมดสัญญา 4 เดือน มีการพูดคุยกันจากหนี้รวม 2.3 ล้านบาท ตกลงกันจะจ่ายให้ 2.7 ล้านบาท ซึ่งธนาคารก็พร้อมจะให้กู้แล้ว แต่เข้ากลับเอาโฉนดไปขายให้ นายทุนอีกคนที่เมืองอุดรธานี ตรวจสอบที่ สนง.ที่ดินขายไปเพียง 1 ล้านบาท ซึ่งน่าจะเป็นการอำพราง นายทุนคนนั้นฟ้องขับไล่เราจากร้าน ฉันและแม่ที่อายุมากแล้ว ถูกจับไปสถานีตำรวจ 3 ครั้ง ถูกจับส่งเข้าเรือนจำ 1 ครั้ง นาน 7 วัน”
น.ส.ลีลาวดี สมเสียง กล่าวต่อว่า สงสารแม่อายุมากแล้ว ถูกจับไปขังในเรือนจำนาน 7 วัน พอประกันตัวออกมาได้ก็ตั้งใจสู้คดี ศาลชั้นต้นเรายังไม่ได้สู้ก็แพ้ ตอนนี้อยู่ในชั้นอุทธรณ์ เราตั้งใจว่าจะสู้ทุกทางไม่ยอมแพ้ เมื่อมีคนมาบอกว่าเขาเป็นชาวเวียดนาม จึงเริ่มเดินทางไปตามหาหลักฐาน จนชัดเจนว่าเขามีเชื้อสายเวียดนาม และได้สวมบัตรประชาชนคนไทย จึงร้องเรียนให้ราชการตรวจสอบ พบสวนชื่อคนไทยที่ อ.เมือง จ.หนองคาย เมื่อปี 2540 อธิบดีกรมการปกครอง ก็ได้ทำหนังสือเพิกถอน จำหน่ายออกจากทะเบียนราษฎร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นายอาคม อายุ 55 ปี ชาวกรุงเทพฯ เปิดเผยว่า ตนรู้จักกับนายกิตตินันท์ เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก อยู่ที่ จ.หนองคาย เป็นคนเวียดนามอพยพด้วยกัน ตาตัวผมเองได้สัญชาติไทยโดยถูกกฎหมาย โดยตนได้มาร่วมลงทุนกับนายกิตตินันท์ ทำธุรกิจรับขายฝากที่ดิน เงินที่ลงทุนไปในที่ดิน 18 แปลง แต่ที่ดินติดมือขายไม่ได้ แล้วเขาก็ถ่ายเทที่ดินไปให้กับนอมินีของเขา ทำให้ตนหมดเงินไปมากกว่า 8 ล้านบาท ทำให้เครียดโดนโกง จนพยายามฆ่าตัวตายด้วยการ กินยานอนหลบไป 90 เม็ด โชคดีที่ญาติส่งโรงพยาบาลทัน
นายวิมล สุรเสน นายอำเภอเมืองอุดรธานี เปิดเผยว่า เป็นคดีที่อำเภอเมืองอุดรธานี ให้ปลัดอำเภอเป็นพนักงานสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐาน ขอศาล จ.อุดรธานีออกหมายจับ ซึ่งผู้ต้องหามีภูมิลำเนาล่าสุดที่ จ.เชียงใหม่ ก็ส่งหมายจับไปตามขั้นตอน จนเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกลาง ได้รับแจ้งเบาะแสที่อยู่ผู้ต้องหา จึงส่งเจ้าหน้าที่มาทำการจับกุม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายชัยวัฒน์ ธรรมวัฒน์ ปลัดอาวุโส เดินทางมาสอบสวนร่วมกับพนักงานสอบสวนด้วยตนเอง ที่ชั้น 2 อาคารที่ว่าการ อ.เมืองอุดรธานี ซึ่งใช้เวลามากกว่า 5 ชม.
นายชัยวัฒน์ชี้แจงว่า คดีนี้เราได้สอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเสร็จแล้ว เมื่อตำรวจสอบสวนกลางนำผู้ต้องหามาส่ง เราก็ต้องดำเนินการตามขั้นตอน ได้สอบปากคำผู้ต้องหา โดยมีทนายความมาด้วย เขาให้การปฏิเสธพร้อมสู้คดี และขอรับการประกันตัว ทางเราก็ตั้งหลักทรัพย์ไว้สูงเลข 7 หลัก มีทั้งบุคคล, เงินสด และหลักทรัพย์อื่น ก็ให้ประกันตัวไปเพราะเชื่อว่าจะไม่หลบหนี