ศาลปกครองสั่งเพิกถอนคำสั่งปลด นิพนธ์ บุญญามณี พ้นตำแหน่งนายก อบจ.สงขลา ชี้ไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดในกฎกระทรวง พร้อมสั่งคุ้มครองจนกว่าคดีสิ้นสุด มีตุลาการเสียงข้างน้อย ทำความเห็นเเย้งให้ยกฟ้องชี้ต้องพิจารณาถึงเจตนาพิเศษ เจ้าตัวขอบคุณได้คืนความยุติธรรม
เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ที่ศาลปกครอง ถนนเเจ้งวัฒนะ ศาลปกครองกลางอ่านคำพิพากษาคดีที่นายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยื่นฟ้องคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ, กระทรวงมหาดไทย เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-2
จากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 มีคำสั่งกระทรวงมหาดไทยวันที่ 25 มิ.ย.64 ให้ผู้ฟ้องคดีพ้นจากตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ในวาระการดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 4 ส.ค.56-27 มิ.ย.62 ตามมติผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เมื่อวันที่ 17 ก.ย.63 โดยมูลกรณีสืบเนื่องจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้รับเรื่องกล่าวหาผู้ฟ้องคดีว่า เมื่อครั้งผู้ฟัองคดีดำรงตำแหน่งนายก อบจ.สงขลา ละเว้นไม่มอบอำนาจให้บริษัท พลวิศว์ เทค พลัส จำกัด ผู้ขายเป็นตัวแทนในการจดทะเบียนรถซ่อมบำรุงทางอเนกประสงค์ ชนิด 10 ล้อ เครื่องยนต์ดีเซลจำนวนสองคัน และไม่อนุมัติเบิกจ่ายเงินค่ารถทั้งสองคันให้แก่บริษัท พลวิศว์ เทค พลัส จำกัด ผู้ขาย ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 มีมติ (โดยเสียงข้างมาก) ในการประชุมข้างต้นว่าการกระทำของผู้ฟ้องคดีมีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และมีมูล ความผิดฐานละเลยไม่ปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่หรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่หรือ ประพฤติตนฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัดฯ และส่งรายงานการไต่สวนข้อเท็จจริงและการชี้มูลมายังผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ดำเนินการต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ใช้อำนาจตามมาตรา 79 แห่ง พ.ร.บ.องค์การบริหารส่วนจังหวัดฯ ออกคำสั่งกระทรวงมหาดไทย ให้ผู้ฟ้องคดีพ้นจากตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ในวาระการดำรงตำแหน่ง ตั้งแต่วันที่ 4 ส.ค.56-27 มิ.ย.62
ผู้ฟ้องคดีเห็นว่า มติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ไม่ชอบด้วยกฎหมายจึงนำคดีมาฟ้อง ขอให้เพิกถอนมติเเละคำสั่งทั้ง 2 โดยคดีนี้ศาลมีคำสั่งทุเลาการบังคับคดีไว้จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งอย่างอื่น
ซึ่งข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า การดำเนินการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง แจ้งข้อกล่าวหาผู้ฟ้องคดี การแสวงหาข้อเท็จจริง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มิได้มีมติให้ดำเนินการตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯแต่อย่างใด จะเห็นได้ว่าข้อกล่าวหาที่อยู่ในอำนาจไต่สวนและพิจารณาของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 หมายถึงเฉพาะข้อกล่าวหาที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมเท่านั้น ส่วนความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ ถือเป็นมูลความผิดทางวินัยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ไม่มีอำนาจในการไต่สวนข้อเท็จจริง ดังนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จึงมีอำนาจหน้าที่ในการไต่สวนข้อเท็จจริงและชี้มูลความผิดทางวินัยผู้ฟ้องคดีเฉพาะความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการและไม่มีอำนาจหน้าที่ในการไต่สวนข้อเท็จจริงและชี้มูลความผิดทางวินัยผู้ฟ้องคดีในความผิดฐานอื่นที่มิใช่ฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการ แม้ต่อมามีการแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 19 วรรคหนึ่ง (4) ให้รวมถึงความผิดที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตด้วยก็ตาม แต่เป็นกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้ชี้มูลฐานทุจริตเป็นฐานแห่งการกระทำผิดวินัยมาก่อนแล้ว จึงจะมีอำนาจชี้มูลความผิดวินัยในฐานอื่นได้
คดีนี้ผู้ฟ้องคดีถูกกล่าวหาคดีในสำนวนการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ระบุว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ไม่มอบอำนาจให้บริษัท พลวิศว์ เทค พลัส จำกัด ผู้ขายเป็นตัวแทนในการจดทะเบียนรถซ่อมบำรุงทางอเนกประสงค์ ชนิด 10 ล้อ เครื่องยนต์ดีเซล จำนวนสองคัน และละเว้นไม่อนุมัติเบิกจ่ายเงินค่ารถทั้งสองคัน จำนวน 50,850,000 บาทให้แก่ผู้ขาย ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีมติโดยเสียงข้างมากว่า การกระทำของผู้ฟ้องคดี มีมูลความผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และมีมูลความผิดฐานละเลยไม่ปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่หรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่ฯ ประพฤติฝ่าฝืน ต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนตาม พ.ร.บ.องค์การบริหารส่วนจังหวัดฯ
โดย พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ บทนิยามต้องมีเจตนาพิเศษเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบ สำหรับตนเองหรือผู้อื่น แต่ข้อกล่าวหาของผู้ฟ้องคดีต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 นั้น เป็นการกล่าวหาว่าผู้ฟ้องคดีไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายหรือสัญญา ทำให้บริษัท พลวิศว์ เทค พลัส จำกัด ได้รับความเสียหาย
และภายหลังการไต่สวนผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีมติโดยเสียงข้างมากว่า จากการไต่สวนข้อเท็จจริงฟังเป็นที่ยุติว่าคณะกรรมการตรวจรับพัสดุได้ทำการตรวจรับรถซ่อมบำรุงทางอเนกประสงค์แล้ว ผู้ฟ้องคดีในฐานะนายก อบจ.สงขลา ผู้ซื้อมีหน้าที่จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามสัญญาที่จะต้องอนุมัติเบิกจ่ายเงินให้บริษัท พลวิศว์ เทค พลัส จำกัด และไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า เจ้าหน้าที่ อบจ.ผู้ใดเสนอความเห็นให้ผู้ฟ้องคดีไม่เบิกจ่ายเงินค่ารถให้แก่บริษัท พลวิศว์เทค พลัส จำกัด หรือได้มีการยกเลิกสัญญาซื้อขายรถทั้งสองคันแต่อย่างใด การที่ผู้ฟ้องคดีไม่อนุมัติเบิกจ่ายเงินค่าซื้อรถทั้งสองคันจึงเป็นการตัดสินใจของผู้ฟ้องคดีโดยลำพัง การไม่เบิกจ่ายเงินให้บริษัทจึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ซึ่งจะเห็นว่าข้อเท็จจริงที่รับฟังเป็นยุติจากการ ไต่สวนของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าการกระทำของผู้ฟ้องคดีเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิชอบด้วยกฎหมายอันจะทำให้การกระทำของผู้ฟ้องคดีเป็นการทุจริตต่อหน้าที่แต่อย่างใด
ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ก็มีมติว่า การกระทำของผู้ฟ้องคดี มีมูลความผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ฯ จึงเป็นกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มิได้มีมติว่าการกระทำของผู้ฟ้องคดีมีมูลทุจริต การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีมติขี้มูลว่าผู้ฟ้องคดีมีมูลความผิดฐานละเลยไม่ปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่หรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่หรือประพฤติตนฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนตาม พ.ร.บ.องค์การบริหารส่วนจังหวัด
ซึ่งเป็นความผิดฐานอื่นที่ไม่อยู่ในอำนาจของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จึงไม่ผูกพันผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจสั่งให้ผู้ฟ้องคดีพ้นจากตำแหน่งนายก อบจ.สงขลา ที่จะต้องถือเอารายงานการไต่สวนข้อเท็จจริงและความเห็นของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มาเป็นสำนวนการสอบสวนได้
การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีหนังสือรายงานการไต่สวนข้อเท็จจริงเพื่อให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ กับผู้ฟ้องคดีฐานละเลยไม่ปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่หรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่หรือประพฤติตนฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนตาม พ.ร.บ.องค์การบริหาร ส่วนจังหวัดฯ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้แจ้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ถือได้ว่าความปรากฏ โดยมีหลักฐานตามสมควรต่อผู้ว่าฯว่านายก อบจ.จงใจทอดทิ้งหรือละเลยไม่ปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่อันจะเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรงฯ ผู้ว่าฯสงขลาจึงมีหน้าที่ต้องดำเนินการสอบสวนผู้ฟ้องคดีตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอน วิธีการและกระบวนการสอบสวนตามที่กำหนดในกฎกระทรวง แต่กลับอาศัยรายงาน เอกสาร และความเห็นของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 แล้วรายงานต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ให้ผู้ฟ้องคดีพ้นจากตำแหน่ง จึงเป็นการกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากเป็นการกระทำโดยไม่ถูกต้อง ตามรูปแบบ ขั้นตอน หรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำนั้น สำหรับข้ออ้างของผู้ฟ้องคดีและผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองกรณีอื่นไม่จำต้องวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป
ส่วนกรณีที่ผู้ฟ้องคดีขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ที่ชี้มูลความผิดทางวินัยผู้ฟ้องคดีนั้น เห็นว่ามติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ที่ชี้มูลความผิด เป็นเรื่องภายในระหว่างผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 กับผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 โดยเป็นขั้นตอนในการเตรียมการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 จะมีคำสั่งตามหน้าที่และอำนาจ แม้ว่ามติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จะเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 แต่ยังมิได้มีผลทางกฎหมายไปกระทบกระเทือนต่อสิทธิหรือหน้าที่ของผู้ฟ้องคดี มติดังกล่าวของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จึงยังมิใช่คำสั่งทางปกครองที่มีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของผู้ฟ้องคดี
ผู้ฟ้องคดีจึงมิใช่ผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้อันเนื่องจากมติดังกล่าวของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ที่จะมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ต่อศาลปกครอง ตามนัยมาตรา 5 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองฯ
พิพากษาเพิกถอนคำสั่งกระทรวงมหาดไทย ที่ 1528/2564 ลงวันที่ 25 มิ.ย.64 เรื่อง ให้นายนิพนธ์ บุญญามณี นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา พ้นจากตำแหน่ง ในวาระการดำรงตำแหน่งวันที่ 4 ส.ค.56-27 มิ.ย.62
โดยให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่มีคำสั่งดังกล่าว และให้คำสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่งกระทรวงมหาดไทย ที่ 1528/2574 ลงวันที่ 25 มิ.ย.64 มีผลต่อไปจนกว่าคดีจะถึงที่สุด หรือจนกว่าศาลปกครองสูงสุดจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
สำหรับคดีนี้ได้มีการทำความเห็นแย้งของตุลาการเสียงข้างน้อยสรุปโดยเห็นว่า การกระทำของผู้ฟ้องคดีต้องดูถึงเจตนาพิเศษ คำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีพ้นจากตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ในวาระการดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 4 ส.ค.56-27 มิ.ย.62 ชอบเเล้ว ควรพิพากษายกฟ้อง
โดยสามารถอ่านคำพิพากษาฉบับเต็มได้ตามลิงก์ https://bit.ly/3ZdoRUt
นายนิพนธ์ได้กล่าวขอบคุณศาลปกครองฯที่คืนความยุติธรรมให้ พร้อมกับยืนยันว่าสิ่งที่ได้ทำนั้น ได้ทำตามขั้นตอนระเบียบกฎหมายอย่างถูกต้อง โดยการที่ไม่อนุมัติจ่ายเงินให้กลุ่มผู้ฮั้วประมูลนั้น เป็นการรักษาผลประโยชน์ให้กับทางราชการ และป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับแผ่นดิน