‘วิน’ มือยิงน้องหยอด-ครูเจี๊ยบ ชี้ 9 จุด รับมีการวางแผนก่อนลงมือยิง อ้างแค้นส่วนตัว คู่อริเคยยิงเพื่อนดับ
เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สืบเนื่องจากเมื่อเวลา 06.00 น. ของวันที่ 21 ธันวาคม พล.ต.ต.วิทวัฒน์ ชินคำ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 5 (ผบก.น.5) พร้อมด้วย พ.ต.อ.พนม เชื้อทอง ผกก.สน.ทุ่งมหาเมฆ ร่วมกับชุดสืบสวนนครบาลได้นำตัว นายอนาวิน แก้วเก็บ อายุ 20 ปี มือยิง นายธนสรณ์ ห้องสวัสดิ์ หรือน้องหยอด และ น.ส.ศิรดา สินประเสริฐ หรือครูเจี๊ยบ เสียชีวิต ออกจาก สน.ทุ่งมหาเมฆ ไปชี้จุดต่างๆ เพื่อทำแผนประกอบคำรับสารภาพในคดีดังกล่าว
จุดแรก ที่บริเวณหน้าธนาคารทหารไทยธนชาติ (ทีทีบี) สาขาคลองเตย ถนนสุนทรโกษา ใกล้แยก ณ ระนอง ใกล้กับโรงเรียนพระหฤทัยคอนแวนต์ โดยนายอนาวินได้ชี้จุดคือจุดจอดรถจักรยานยนต์ ซึ่งอยู่ห่างจากจุดยิงประมาณ 5 เมตร นายอนาวินให้ข้อมูลว่า หลังจากลงรถก็ได้วิ่งเลาะริมฟุตปาธ ติดตามกลุ่มของผู้เสียชีวิตไป
จากนั้น ไปชี้จุดที่ลงมือยิงโดยได้ให้ข้อมูลว่า ตนเองเล็งปืนกลุ่มของคู่อริไว้ แต่กระสุนนัดแรกพลาดไปโดนครูเจี๊ยบ ซึ่งอยู่ห่างไปประมาณ 2 เมตร จากนั้นก็ได้หันมายิงน้องหยอดทางด้านหน้าจนล้มลง หลังจากนั้นตัวเองได้วิ่งหนีมาขึ้นรถที่นายเลาะ ขี่มาจอดรอ แต่นายเลาะ คนขี่รถจักรยานยนต์ ได้บอกว่า ให้ยิงซ้ำ ตนเองจึงวิ่งกลับไปยิงน้องหยอดซ้ำอีกหนึ่งครั้งทางด้านหลัง จากนั้นได้วิ่งกลับมาที่รถพร้อมหลบหนีไปทางสี่แยกตลาดคลองเตย
จากนั้น ตำรวจคุมตัวต่อไปยังจุดที่ 2 เป็นจุดที่นายอนาวินอ้างว่า ไปกินก๋วยเตี๋ยวในวันเกิดเหตุ (11 พ.ย.) ที่ซอย 58/5 ถนนกรุงเกษม แขวงรองเมือง เขตปทุมวัน ก่อนที่จะไปก่อเหตุ
ต่อด้วย จุดที่ 3 บริเวณซอย 18 ถนนประชาสงเคราะห์ 23 แขวงดินแดง เป็นจุดที่ เวลา 22.00 น. ของวันที่ 10 พ.ย. ผู้ต้องหา ไปขโมยแผ่นป้ายทะเบียนรถจักรยานยนต์ที่จอดอยู่ละแวกนี้ แล้วนำมาสลับกับรถของตนเองก่อนไปก่อเหตุในวันถัดไป
จุดที่ 4 เป็นบ้านพักหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ใน ต.คลองพระอุดม อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ซึ่งเป็นจุดที่นายอนาวินกลับมาบ้านพร้อมกับอาวุธปืน แล้วได้นำค้อนมาทุบปืนเพื่อทำลายหลักฐาน แล้วนำไปโยนลงน้ำ
จุดที่ 5 บริเวณวัดตำหนักเหนือ จังหวัดนนทบุรี ซึ่งวัดแห่งนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดยนายอนาวิน ผู้ก่อเหตุ ได้ชี้จุด และให้การรับสารภาพว่า ตนเองได้นำเศษอาวุธปืนที่ถูกทุบทำลาย มาทิ้งบริเวณท่าน้ำของวัดแห่งนี้ โดยได้ปาออกไปอย่างเต็มแรง ซึ่งจุดที่อาวุธปืนตกลงน้ำจะอยู่ห่างจากท่าน้ำประมาณ 10 เมตร
จุดที่ 6 ตำรวจคุมตัวนายอนาวินไปต่อยังจุดพ่นสี ต.โคกช้าง อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งจุดนี้ เป็นจุดที่ นายเลาะ และนายอนาวิน ขี่รถจักรยานยนต์ หลบหนีมาหลังก่อเหตุ เพื่อมาพ่นสีรถ หมวกกันน็อก และรองเท้า บริเวณหญ้ารกร้าง เพื่อพรางตัว โดยขับเข้ามาจากถนน ประมาณ 50 เมตร ซึ่งนายอนาวินให้การยืนยันว่า มาพ่นสีบริเวณจุดนี้หลังจากก่อเหตุยิงครูเจี๊ยบและน้องหยอด ก่อนจะขับขี่รถจักรยานยนต์ต่อไปยัง อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
จุดที่ 7 ในพื้นที่ อ.บางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นจุดที่ นายอนาวิน ผู้ต้องหา พร้อมด้วยนายเลาะ ขี่รถจักรยานยนต์ ไปจอดทิ้งไว้ จากนั้นเปลี่ยนขึ้นรถกระบะ โดยมี นายนพวุฒิ เรืองศรี หนึ่งในผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมไปก่อนหน้านี้ ไปรับ แล้วพาขับรถหลบหนีต่อไป อ.เสาไห้ จ.สระบุรี เพื่อหลบหนีต่อไป
โดยจุดนี้ นายอนาวินให้การว่า หลังจากเปลี่ยนสีรถที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ก็ขี่รถจักรยานยนต์ มาพักรอในป่าห่างจากถนน 300 เมตร และก่อนที่จะมาจอดรถเพื่อพักรอ ขณะที่มาพักรอ รถกระบะไทรทัน ก็จอดรถที่ริมถนน และคนขับรถเดินเข้ามาหา จากนั้นก็ออกไปขึ้นรถ พร้อมกับรถจักรยานยนต์ แล้วมีผ้าคลุมออกไป รวมถึงยอมรับว่า รถจักรยานยนต์คันที่ใช้ก่อเหตุ เคยนำมาจอดไว้ที่ในป่าแห่งนี้ เพื่อรอนำไปก่อเหตุ ซึ่งขณะนี้ติดสติ๊กเกอร์สีเหลือง แล้วพอเอารถไปก่อเหตุ ก็เอาสติ๊กเกอร์ออก เปลี่ยนเป็นสีแดงไปก่อเหตุ ก่อนจะเอาไปพ่นสีหลังก่อเหตุเป็นสีน้ำเงินเพื่อหลบหนีแล้วขี่มาที่นี่
นายอนาวินยอมรับว่า มีการวางแผนไว้แล้วล่วงหน้า และเคยมาดูสถานที่ไว้ก่อนก่อเหตุ รวมถึงยอมรับว่ามีการแบ่งหน้าที่กันทำด้วย
จุดที่ 8 บริเวณริมถนนแจ้งวัฒนะ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ซึ่งจุดนี้ นายอนาวินให้การอ้างว่า หลังจากหลบหนีขึ้นรถกระบะ จากอำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี มาจอดส่งตนเองบริเวณจุดนี้ จากนั้นตนเองก็ต่อแท็กซี่เพื่อกลับบ้านในช่วงเวลาประมาณตี 4-ตี 5 ของวันที่ 12 พฤศจิกายน
จุดที่ 9 ที่บ้านเลขที่ 22/1 ซอยวงศ์สว่าง 19 แขวงวงศ์สว่าง เขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นบ้านที่กลุ่มผู้ต้องหามาเช่าพัก โดยนายอนาวินเล่าว่า ได้มาเช่าพักอยู่ที่บ้านหลังนี้นานแล้ว แต่ปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นแหล่งซ่องสุม ปลูกฝังความเชื่อผิดๆ หรือความรุนแรงแต่อย่างใด
ยืนยันสิ่งที่ตนเองก่อเหตุเป็นความแค้นส่วนตัวที่กลุ่มสถาบันคู่อริเคยยิงเพื่อนของตนเองเสียชีวิต จึงก่อเหตุเพราะความเคียดแค้น ไม่มีใครสั่งการยั่วยุปลุกปั่นแต่อย่างใด ซึ่งเจ้าของบ้านก็ไม่ได้เป็นญาติหรือรู้จักกัน พร้อมกับกล่าวขอโทษญาติของทั้งสอง อีกครั้งกับสิ่งที่ตนเองทำลงไป