โวยคดีไม่คืบ เหยื่อร้องกองปราบเอาผิดสะใภ้อดีตรองนายกฯ หลอกลงทุนกระเป๋าแบรนด์เนม

โวยคดีไม่คืบ เหยื่อร้องกองปราบเอาผิดสะใภ้อดีตรองนายกฯ หลอกลงทุนกระเป๋าแบรนด์เนม

วันที่ 10 ม.ค. ที่ ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) นายรณรงค์ แก้วเพชร ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม พา น.ส.จิตฐิติกาญจน์ ถิรเดชาภาพ อายุ 42 ปี , น.ส.ชาริณี อยู่ไสว อายุ 44 ปี พร้อมผู้เสียหายรายอื่นๆ ประมาณ 10 คน ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพหมอและพยาบาล เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.เริงศักดิ์ ชุ่มจิตต์ ผกก.(กลุ่มงานสอบสวน) บก.ป. หลังถูกอดีตลูกสะใภ้ของอดีตรองนายกรัฐมนตรีโกงเงินลงทุนกระเป๋าแบรนด์เนม ความเสียหายรวมกันกว่า 100 ล้านบาท

น.ส.จิตฐิติกาญจน์ กล่าวว่า ตนรู้จักกับ น.ส.บี (นามสมมุติ) ผู้ถูกกล่าวหา เพื่อนนักเรียนสมัยมัธยม ได้มาชักชวนให้นำเงินมาลงทุนธุรกิจซื้อขายกระเป๋าแบรนด์เนม อ้างผลตอบแทนสูง ด้วยความที่เห็นว่าน.ส.บี มีหน้าที่การงานดี เป็นนักกายภาพบำบัดของโรงพยาบาลชื่อดังแห่งหนึ่ง อีกทั้งยังเคยเป็นหลานสะใภ้ของอดีตรองนายกรัฐมนตรี จึงหลงเชื่อร่วมลงทุนด้วย เริ่มจากหลักหมื่นบาท ได้กำไรหลักร้อยถึงหลักพัน เมื่อได้จริงก็เพิ่มยอดเงินลงทุนเรื่อยมา

น.ส.จิตฐิติกาญจน์ ให้การต่อว่าจนเมื่อก.ค. 2566 น.ส.บี เริ่มจ่ายเงินค่าตอบแทนล่าช้า เมื่อทวงถามขอเงินลงทุนกลับคืนก็ถูกบ่ายเบี่ยง ซ้ำยังคอยพูดหว่านล้อมให้นำเงินมาลงทุนเพิ่ม และเริ่มติดต่อยาก ตนจึงเริ่มเอะใจ สอบถามเพื่อนคนอื่นๆจึงรู้ว่าถูกหลอกเพราะธุรกิจตามที่กล่าวอ้างไม่มีอยู่จริง อีกทั้งยังมีเพื่อนๆในกลุ่มรวมถึงคนอื่นๆที่ตกเป็นเหยื่อถูกหลอกอีกกว่า 30-40 ราย ความเสียหายรวม ๆ กันเกือบ 100 ล้านบาท

ADVERTISMENT

น.ส.จิตฐิติกาญจน์ กล่าวด้วยว่า ก่อนหน้าเคยรวมตัว ไปทวงถามเงินถึงบ้านพัก แต่เจ้าตัวก็เอาแต่ร้องไห้ พร้อมยอมรับว่ากระเป๋าไม่ได้มีอยู่จริง ปัญหาเกิดจากทำธุรกิจผิดพลาด แต่พอขอเอาโทรศัพท์มือถือมาตรวจสอบ ก็พบว่ามีกลุ่มลงทุนแชร์ทองจำนวนมาก และยังทราบด้วยว่า น.ส.บี นั้นเคยถูกดำเนินคดีเพราะเป็นเท้าแชร์ แล้วล้มแชร์ เมื่อ 5-6 ปีก่อน เมื่อถามไปที่สามีของน.ส.บี ก็ปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่อง เพราะตนเองก็ลงทุนไปกว่า 6 ล้านบาท ตอนนี้ก็หย่ากันแล้วด้วย นอกจากนี้น.ส.บียังถูกบีบให้ลาออกจากงานไปแล้วตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เพราะมีบุคลากรทางการแพทย์นับ 10 รายที่ถูกหลอกเหมือนกัน ซึ่งน.ส.บีก็ยอมรับว่าไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่ขอโอกาสทำงานหาเงินมาใช้หนี้คืน

น.ส.เอ (นามสมมติ) ผู้เสียหายรายหนึ่งกล่าวด้วยว่า ก่อนหน้านี้พวกตนเคยรวมตัวกันมาร้องที่กองปราบฯไว้แล้ว แต่คดีไม่มีความคืบหน้า วันนี้จึงอยากมาถามความคืบหน้าคดีด้วย

ADVERTISMENT

ขณะที่ผู้เสียหายอีกราย ให้ข้อมูลว่า เคยไปแจ้งความไว้ที่ สถานีตำรวจนครบาลแห่งหนึ่ง แต่กลับถูกตำรวจขอคิดเงินค่าทำคดีจากผู้เสียหายคนละ 10,000 บาท แต่ไม่ได้ให้ไป พร้อมยืนยันอีกว่า ต่อให้เขานำเงินมาคืนจนครบทั้งหมด ก็ไม่มีทางที่จะถอนฟ้อง เพราะไม่อยากให้ผู้ก่อเหตุไปกระทำการลักษณะนี้กับคนอื่นอีก

ด้าน นายรณณรงค์ กล่าวว่า อยากให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกงประชาชน และนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ส่วนตัวเชื่อว่า ผู้เสียหายน่าจะมีมากกว่านี้ จึงอยากให้มารวมตัวกันแจ้งความเพื่อเอาผิดกับผู้ก่อเหตุด้วย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image