ผบ.ตร.เผย ‘ธรรมกาย’ ยังไม่ยอมให้ดีเอสไอเข้าค้นโซน A-B ซ้ำ ลั่นใครปลุกปั่นเอาผิด ม.116 ไม่ให้ราคา”ธัมมชโย”หนีได้หนีไป

เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ที่ศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้า สภ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เดินทางมาประชุมร่วมกับพ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช ผบช.ภ.1 พล.ต.ต.สมบัติ มิลินทจินดา รอง ผบช.ภ.1 พล.ต.ต.ถาวร ขาวสอาด ผบก.ภ.จว.ปทุมธานี และ พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ผู้บัญชาการสำนักคดีพิเศษภาค ดีเอสไอ เพื่อหารือถึงแนวทางการปฏิบัติการตรวจค้นวัดพระธรรมกาย เพื่อจับกุมพระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ผู้ต้องหาตามหมายจับข้อหาสมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และรับของโจร ในคดีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด โดยใช้เวลาในการประชุม 1 ชั่วโมงเศษ

พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวภายหลังการประชุมว่า สำหรับสถานการณ์บริเวณโดยรอบพื้นที่วัดพระธรรมกายในวันนี้ยังคงปกติอยู่ โดยรอความชัดเจนตามที่ได้มีการพูดคุยกันไว้ว่าต้องการที่จะเข้าไปตรวจค้นวัดพระธรรมกายในพื้นที่โซน A – B อีกครั้ง ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้เจรจากับตัวแทนวัดพระธรรมกายตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมาแล้ว โดยขณะนี้อยู่ระหว่างรอความชัดเจนอีกครั้ง วัดได้ให้เหตุผลกลุ่มลูกศิษย์ของวัดพระธรรมกายยังไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่เข้าไปดำเนินการตรวจค้น

ผู้สื่อข่าวถามว่าจะจัดการกับกลุ่มลูกศิษย์หรือไม่นั้น พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวว่า เราไม่จัดการอยู่แล้ว แต่จะใช้วิธีการเจรจาสร้างความเข้าใจว่าเรามาเพื่ออะไร ส่วนพระสงฆ์นยอมเราอยู่แล้ว มีเพียงลูกศิษย์บางกลุ่มเท่านั้นที่ยังไม่ยอม

ถามว่า กรณีมีกลุ่มลูกศิษย์วัดพระธรรมกายบางส่วนใช้ความรุนแรงกับเจ้าหน้าที่ จะใช้วิธีไหนในการแยกกลุ่มคนเหล่านี้ พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวว่า เอาเป็นว่าให้รอขั้นตอนต่อไป แต่ในตอนนี้เราต้องดำเนินการในสิ่งที่เราต้องการก่อน คือการเข้าตรวจค้นในพื้นที่โซน A และโซน B ส่วนจะดำเนินการอย่างไรนั้น ให้เป็นหน้าที่อธิบดีดีเอสไอซึ่งเป็นผู้นำหมายเข้าไป ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นเพียงผู้ปฏิบัติตามวันนี้เราจะต้องเข้าไปในพื้นที่โซนดังกล่าวให้ได้ สำหรับกรณีที่กลุ่มลูกศิษย์วัดมีการนำแผงเหล็กมากั้นบริเวณพื้นที่ประตู 5 และ 6 นั้น ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราจะต้องเข้าไปคุยกับเขา อะไรที่อยู่ในพื้นที่ควบคุมของเจ้าหน้าที่ หากนำเข้ามาก็มีความผิดอยู่แล้ว

Advertisement

พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวถึงข้อซักถามกรณีทางวัดพระธรรมกายมีการนำเครื่องขยายเสียงมาปราศัย เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ว่า เรื่องดังกล่าวมีอยู่ที่ประชุมซึ่งเราได้พูดคุยกันแล้ว ทั้งนี้ หากเราพบว่ามีการกระทำความผิดก็จะต้องดำเนินการตามกฎหมาย ทุกคนคงรู้อยู่แล้วว่าอะไรผิดอะไรถูก จึงขอให้ทุกคนอย่าท้าทาย ส่วนกรณีมีกระแสข่าวว่ามีมหาเศรษฐีหนุนหลังวัดพระธรรมกายนั้นยังไม่ทราบเรื่องนี้

ถามถึงกรณีมีการแชร์ภาพถุงมือเจ้าหน้าที่ขาดและมีสนับมือด้วย พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวว่า อย่าว่าแต่สนับมือเลย กระบองตนยังไม่ให้นำเข้ามาเลย ในโซเชียลหลายครั้งก็เชื่อถือไม่ได้ จะเอามาทำไมสนับมือ ตำรวจไม่ใช่นักเลง ส่วนที่กลุ่มลูกศิษย์วัดพยายามใช้โซเชียลในการปลุกระดมนั้น เราพยายามชี้แจง มันอยู่ที่คนที่รับรู้มากกว่ามีวิจารณญาณขนาดไหนที่จะมาร่วมหรือไม่ร่วม ซึ่งขณะนี้ดีเอสไอทราบปัญหาที่เกิดขึ้นมา 3-4 วันหมดแล้ว หากใช้มวลชนมาแบบนี้เป็นเรื่องที่ไม่ดีแน่นอน ทั้งนี้ หากการกระทำปลุกปั่นที่เกิดขึ้นเข้าตามมาตรา 116 ก็จะต้องดำเนินการหมด

“อย่างที่ผมบอกเมื่อวันก่อนว่าอย่าง นายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ นายสนธิ ลิ้มทองกุล พวกนี้เขาก็มีมวลชนอยู่ในมือไม่ได้น้อยไปกว่านี้เลย เขาก็มาคนเดียว เขาก็มามอบตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม หรือใครว่านายสนธิและนายชูวิทย์ไม่มีมวลชน ก็มีเหมือนกัน ไม่งั้นบ้านเมืองจะอยู่ยังไง วันนี้ถ้ามีจับผม มีหมายจับผม และผมให้ลูกน้องผม 2 แสนกว่าคนมาปกป้องผม และบ้านเมืองจะเดินยังไง สื่อก็ต้องให้ความเป็นธรรมด้วย” พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าว

Advertisement

ผบ.ตร.กล่าวต่อว่า สำหรับาการตรวจค้นวัดพระธรรมกายจะมีความยืดเยื้อต่อไปจนถึงเมื่อไหร่นั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องของดีเอสไอ ส่วนที่ตนบอกว่า 7 วันนั้น คือวันจันทร์ถึงวันอาทิตย์ ไม่ใช่ว่า 7 วันจะต้องได้ตัวพระธัมมชโย ทั้งนี้ ต้องพิจารณาดูว่าความเป็นธรรมมันเกิดจากอะไร เรามาตามกฎหมายเขาก็ไม่ให้เข้า และจะให้เราทำอย่างไร ความชอบธรรมอยู่ตรงไหน ให้ค้นวัดพระธรรมกายก็หมดเรื่อง ก็เพราะเป็นอย่างนี้ทำกฎหมายไม่ให้เป็นกฎหมาย พื้นที่ศาลออกหมายค้นแล้วไม่ให้เข้า บ้านเมืองจะอยู่ยังไง

ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่ทางวัดให้รอโดยที่ยังไม่ให้เข้าไปดำเนินการตรวจค้นในพื้นที่โซน A และ B นั้น อาจจะมีการเคลื่อนย้ายสิ่งผิดกฎหมายหรือไม่ พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวว่า ตรงนั้นตนไม่รู้ ถ้าบริสุทธิ์จริงก็ให้เข้าตั้งแต่เช้าแล้ว ส่วนที่สังคมมองว่าเรื่องนี้อาจจะเกิดความยืดเยื้อออกไปนั้น หากยืดเยื้อนั่นสิดี เพราะการยืดเยื้อไม่ได้เกิดขึ้นจากเจ้าหน้าที่ มันเกิดขึ้นจากคนในวัดพระธรรมกาย ถ้าให้ค้นมันก็จบไปตั้งแต่ 3 วันที่แล้ว อีกทั้งอะไรที่มันเกี่ยวข้องกับกฎหมายอย่างไปเริ่มเชื่อว่าลูกศิษย์ลูกหาทุกคนรู้หมดสิ่งเหล่านี้อย่าไปทำเป็นตัวอย่างที่มันไม่น่าทำ

ถามต่อว่า หากใช้กฎหมายมาตรา 44 และยังไม่สามารถจัดการกับพระธัมมชโยได้ ผบ.ตร.กล่าวว่า จัดการได้ ตนเชื่อว่ากฎหมายก็คือกฎหมาย ทั้งนี้ อยากให้สื่อทุกคนช่วยตัดสินด้วย ให้ความเป็นธรรม ให้ความเป็นกลางว่าอะไรใช่ อะไรไม่ใช่ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีอะไรที่หนักใจ โซเชียลชอบไปลงกันเองว่าอำนาจรัฐทำอะไรไม่ได้

“บางเรื่องบางราวผมว่ามันใช่กิจของสงฆ์เปล่า สิ่งที่ทำมันกิจของสงฆ์เปล่า มันไม่ใช่อย่างนี้มันกิจของนักเลง ไม่ใช่กิจของสงฆ์ ผมก็เป็นของผมอย่างนี้ ยกตัวอย่างไปแล้วคุณสนธิ หัวหน้าพันธมิตร (พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย) มีมวลชนตั้งหลายคน ยังแสดงความกล้าหาญเดินมาติดคุกเลย คุณชูวิทย์เขาก็มีมวลชนเยอะกว่านี้ด้วย ผมไม่ได้พูดท้าทาย แต่ผมพูดให้คิด” พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าว

ถามถึงกรณีที่ทางวัดระบุว่าบุคคลใดที่ออกมาใช้ความรุนแรงทำร้ายเจ้าหน้าที่ไม่ใช่บุคคลของวัด ผบ.ตร.กล่าวว่า แล้วเขาเข้าไปอยู่ได้อย่างไร ก็จับตัวมาให้เราสิ เราจะไปดูพวกนี้ด้วย แต่ก็ไม่ให้เราเข้าไป

ถามต่อว่า มีข้อมูลทางการข่าวหรือไม่ว่าขณะนี้พระธัมมชโยอยู่ภายในวัด หรือในประเทศ หรือเดินทางออกนอกประเทศไปแล้ว พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวว่า “ผมไม่เคยให้ราคา หนีได้ก็หนีไป เวลามอบตัวก็อย่าขอประกันตัวแล้วกัน ทั้งนี้ ยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มเจ้าหน้าที่ แต่ที่เพิ่มมาก่อนหน้านี้เพื่อดูแลความปลอดภัยให้แก่ประชาชนที่อยู่บริเวณนี้ ผมไม่ได้ขี่ช้างจับตั๊กแตน มาจับหลวงพ่อองค์เดียวต้องนำกำลังมา 3,000-4,000 คน ส่วนมาตรการตัดน้ำตัดไฟนั้น ก็ให้ไปกราบหลวงพ่อท่าน นิมนต์ท่านมามอบตัวสิ”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image