วันที่ 11 มีนาคม 2560 เมื่อเวลา 10.00 น. พ.ต.อ.อภิชาต โพธิจันทร์ ผกก.4 บก.ทล.(ขอนแก่น) พร้อมด้วย พ.ต.ต.กฤษฎา บุญศิริ สว.ทล.2 กก. บก.ทล. ร่วมกันแถลงข่าวผลการตรวจยึดกัญชาแห้งอัดแท่ง แต่ละแท่งห่อหุ้มด้วยพลาสติกใสกันน้ำแบบสุญญากาศและมีกันชื้น บรรจุอยู่ในกระสอบปุ๋ยสีขาวแล้วห่อหุ้มด้วยถุงพลาสติกสีดำ จำนวน 15 ห่อใหญ่ แบ่งย่อยออกเป็นบรรจุห่อละ 32-36 แท่ง รวมทั้งหมด 530 แท่ง น้ำหนักประมาณ 530 กก. รวมมูลค่ากว่า 7 ล้านบาท และรถกระบะอีซูซุสีบรอนด์ทอง หมายเลขทะเบียน ผข-6323 ขอนแก่น จำนวน 1 คัน โดยทะเบียนหลังสวมป้ายทะเบียนปลอม ส่วนผู้ต้องหาทราบภายหลังว่าคือ นายถาวร มารไชย์ อายุ 47 ปี สามารถหลบหนีไปได้ ในฐานความผิดร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 5(กัญชา)ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย
สืบเนื่องจากเมื่อเวลา 00.01 น.วันที่ 11 มี.ค.ที่ผ่านมา ทางตำรวจ บก.ทล.(ขอนแก่น)ได้ไปตั้งด่านสกัดจับอยู่บริเวณริมถนนมิตรภาพขาเข้า ระหว่าง กม.379-380 ในพื้นที่ ต.สะอาด อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น หลังทราบเบาะแสว่าจะมีแก๊งค้ายาเสพติดรายใหญ่เครือข่าย “ไซซะนะ” ใช้รถกระบะอีซูซุขนกัญชามูลค่ามหาศาล จาก จ.บึงกาฬ ลงกรุงเทพฯ กระทั่งเวลา 02.20 น.มีรถกระบะอีซูซุมีผ้าใบคลุมทับไว้ตรงตามที่รับแจ้งวิ่งมาถึงด่านตรวจ เจ้าหน้าที่ได้ส่งสัญญาณให้หยุดรถเพื่อตรวจตามปกติ แต่คนขับได้ขับรถหลบหนีไปจนถึงบริเวณระหว่าง กม.370-371 ในพื้นที่ ต.น้ำพอง อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น แล้วหยุดรถก่อนวิ่งหลบหนีลงป่าข้างทาง ทางตำรวจที่ขับรถตามได้วิ่งไล่ตามแต่ไม่ทันเนื่องจากเป็นตอนกลางคืนคนร้ายจึงสามารถหลบหนีไปได้ ทางตำรวจจึงได้เข้าตรวจยึดรถกระบะที่คนร้ายเสียบกุญแจค้างไว้ ตรวจค้นที่ท้ายกระบะปรากฎว่าพบกัญชาแห้งอัดแท่งจำนวนมาก
ด้าน พ.ต.อ.อภิชาต เปิดเผยว่า การบรรจุหีบห่อกัญชาที่จับได้ในครั้งนี้ ได้ปรับให้ทันสมัยโดยใส่ถุงสุญญากาศและมีกันชื้น ป้องกันไม่ให้กัญชาเสียคุณภาพแบบเดียวกับที่ จ.ลพบุรี เพิ่งจับได้เป็นเครือข่ายแก๊งค้ายาเสพติดรายใหญ่เครือข่าย “ไซซะนะ” ที่นำกัญชาจากประเทศ สปป.ลาว เข้ามาทาง จ.บึงกาฬ ประเทศไทย ก่อนนำไปขายต่อยังประเทศที่สามตามลำดับ สำหรับการบรรจุหีบห่อแบบใหม่นี้นอกจากทันสมัยด้วยรูปโฉมใหม่นี้ทำให้กลุ่มผู้ซื้อ-ขายสะดวกในการแบ่งขายและแบ่งเสพ และยังสามารถรักษาคุณภาพของกัญชาไว้ได้เป็นอย่างดี ส่วนเรื่องรถกระบะที่ผู้ต้องหาใช้ขนกัญชาจากการตรวจสอบพบว่าผู้ครอบครองรถกระบะคันดังกล่าวเป็นชาว จ.กาฬสินธุ์ คนบ้านเดียวกับผู้ต้องหานั่นเอง โดยทางตำรวจจะได้เร่งติดตามจับตัวผู้ต้องหาที่หลบหนีไปได้รายนี้พร้อมเพื่อนร่วมเครือข่ายมาดำเนินคดีต่อไป
