“ไพบูลย์”นำทีม665ผู้เสียหายสหกรณ์ฯคลองจั่น ฟ้อง”อธ.กรมส่งเสริมสหกรณ์-อดีตผอ.” ม.157-ฉ้อโกง

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 14 มิถุนายน ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถนนนครไชยศรี นายไพบูลย์ นิติตะวัน ประธานเครือข่ายประชาชนปฏิรูปและอดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) พร้อมตัวแทนประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ยื่นฟ้อง นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อดีตอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เป็นจำเลยที่ 1 นายบุญเสริม ไกรสินธุ์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมสหกรณ์พื้นที่ 2 เป็นจำเลยที่ 2 และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น เป็นจำเลยที่ 3 ในข้อหากระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และทุจริตฐานฉ้อโกงประชาชน มาตรา 341, 343 และความผิดตาม พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประมาชน มาตรา 4, 5 เนื่องจากร่วมกันสนับสนุนช่วยเหลือสหกรณ์ฯคลองจั่น โดยมีประชาชนผู้เสียหายเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง 665 คน พร้อมเอกสารประกอบคำฟ้อง 29,449 แผ่น ต่อมาศาลได้รับคำฟ้องไว้ในสารบบความเป็นคดีหมายเลขดำที่ อท.325/2560

โดยนายไพบูลย์ กล่าวว่า ประชาชนทั้ง665คน ได้รับความเดือดร้อนและเสียหายถึงวันมีคำฟ้องนี้เป็นจำนวนเงิน1,926ล้านบาท และปัจจุบันยังมีประชาชนได้รับความเดือดร้อนและเสียหายจากสหกรณ์ฯคลองจั่นผู้ถูกฟ้องคดีรวม5,400คน เป็นมูลค่าความเสียหายประมาณ12,000ล้านบาท แบ่งเป็นเสียหายจากเงินฝากออกทรัพย์ประมาณ7,500ล้านบาท และเสียหายในส่วนเป็นเงินฝากสะสมหุ้นประมาณ4,600ล้านบาท ถูกตัดไม่ให้สิทธิรับเงินคืนส่วนนี้ทั้งหมด เพราะการที่กรมส่งเสริมสหกรณ์สนับสนุนให้ใช้กระบวนการฟื้นฟูกิจการสหกรณ์ฯคลองจั่นผู้ถูกฟ้องที่ทุจริตฉ้อโกงประชาชน ได้สร้างปัญหาซ้ำเติมร้ายแรงให้แก่ประชาชนผู้เสียหายซ้ำแล้วซ้ำอีก

นายไพบูลย์ กล่าวต่อว่า เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมา ได้ส่งหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผ่าน พล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เสนอให้จัดตั้งกองทุนเพื่อติดตามรวบรวมทรัพย์สินจากผู้กระทำผิดฟอกเงินเกี่ยวข้องกับสหกรณ์ฯคลองจั่นคืนให้แก่ประชาชนผู้เสียหายประมาณ 5,400 คน โดยเร็วและโดยตรง ไม่ต้องผ่านกระบวนการฟื้นฟูกิจการของสหกรณ์ฯคลองจั่น และเป็นวิธีที่ไม่ต้องเสียงบประมาณแผ่นดินจากภาษีประชาชน

“และวันนี้ขอให้ท่านนายกฯ ตรวจสอบว่ากรมส่งเสริมสหกรณ์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับกระทรวงการคลัง กำลังจะเอาภาษีของประชาชนนับหมื่นล้านบาทไปอุดหนุนให้สหกรณ์ฯคลองจั่นที่ฉ้อโกงประชาชนด้วยวิธีไม่โปร่งใส จะเป็นการดำเนินการที่ถูกกฎหมายและยุติธรรมแก่ประชาชนทั้งประเทศหรือไม่ แต่ทั้งนี้ส่วนตัวเชื่อมั่นในความยุติธรรมและซื่อสัตย์สุจริตรักความถูกต้องของท่านนายกฯ คงไม่ยอมปล่อยให้มีเรื่องใดก็ตามที่หน่วยงานของรัฐไปสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนผู้สุจริตอย่างแน่นอน”นายไพบูลย์กล่าว

Advertisement

ผู้สื่อข่าวถามว่า การตรวจสอบทรัพย์สินของวัดจะต้องมีการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวกับข้องกับสงฆ์หรือไม่ นายไพบูลย์ กล่าวว่า ต้องดูสาเหตุคือระบบบริหารจัดการวัดไม่เปิดเผยโปร่งใส ตรวจสอบไม่ได้ ต้องทำให้เปิดเผยโปร่งใสตรวจสอบได้ เป็นไปตามพระธรรมวินัย การที่ไม่มีกฎหมายใดๆควบคุมไว้ เปิดช่องให้ผู้ทุจริตและมิจฉาชีพหาประโยชน์กับวัดได้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน มหาเถรสมาคม (มส.) ไม่ยอมออกกฎหมายในเรื่องนี้เลย ฆราวาสต้องออกกฎหมายเองโดยยึดหลักพระธรรมวินัย เราเคยเสนอผ่าน สปช.ไปยังนายกฯ แล้ว ท่านไม่ได้นิ่งนอนใจส่งต่อไปยัง มส. แต่ มส.เอาไปเก็บไว้ ทำแค่บัญชีรับจ่ายระดับประถม ไม่สามารถตรวจสอบได้และไม่ยอมเปิดเผย ดำเนินการเป็นเพียงผักชีโรยหน้าเท่านั้น ไม่มีผลในการสร้างความโปร่งใสตรวจสอบได้ ทำให้วัดกลายเป็นแหล่งหากินของมิจฉาชีพ

เมื่อถามถึงกรณีที่มีกลุ่มอดีต ส.ส. 50 คน ประกาศหนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป นายไพบูลย์ กล่าวว่า การที่ฝ่ายการเมืองเห็น พล.อ.ประยุทธ์ เหมาะสมที่จะเป็นนายกฯ เป็นสิ่งที่ดี ถ้าเห็นโดยสุจริต ไม่มีความหวังประสงค์ในทางที่ทุจริตแบบนักการเมืองเก่า ยิ่งเยอะก็ยิ่งดี แต่ตนในฐานะผู้ก่อตั้งพรรคประชาชนปฏิรูปประกาศสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ตั้งแต่เดือน สิงหาคม2559 แล้ว จนถึงวันนี้ก็เป็นเหมือนเดิม

เมื่อถามต่อว่า จะมีโอกาสไปร่วมกับกลุ่มอดีต 50 ส.ส. ด้วยหรือไม่ นายไพบูลย์ กล่าวว่า “คงไม่มีทาง เพราะบุคคลตามข่าว 50 ส.ส.นั้น ในฐานะที่พวกผมจะจัดตั้งพรรคของประชาชน เรามองว่าเป็นพวกนักการเมืองในระบบเก่า ในฐานะที่เราจะสร้างการเมืองระบบใหม่ที่เป็นการปฏิรูปการเมืองอย่างแท้จริง เราคงไม่สังฆกรรมด้วย”

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image