อ่านคำตัดสินมาราธอน13ชั่วโมง ค้ามนุษย์โรฮีนจา จำคุก27ปี”พล.ท.มนัส” ส่วน”โกโต้ง” อ่วม คุก75ปี

เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก องค์คณะผู้พิพากษาแผนกคดีค้ามนุษย์ในศาลอาญา เริ่มอ่านคำพิพากษาคดีค้ามนุษย์โรฮิงญาหรือโรฮีนจา หมายเลขดำ คม.19,27,28,29,32,35,36,40,41,47,63/2558 รวม 11 สำนวน ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีค้ามนุษย์ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายบรรจง หรือจง ปองพล จำเลยที่ 1, นายปัจจุบัน อังโชติพันธุ์ หรือโกโต้ง หรือเสี่ยโต้ง อดีต นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.)สตูล จำเลยที่ 29 , พล.ท.มนัส คงแป้น อดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก จำเลยที่ 54 , กลุ่มตำรวจกับพลเรือน เป็นจำเลย รวม 103 คน ซึ่งอัยการได้ทยอยฟ้องจำเลยตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2558 ในความผิด 16 ข้อหา ตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ฯ มาตรา 4, 6, 7, 9, 10, 11, 52 , 53/1 , ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์การอาชญากรรมข้ามชาติ ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ.2556 มาตรา 3 ,5, 6, 10, 25, ร่วมกันหรือนำพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร หรือช่วยเหลือบุคคลต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 63,64 , พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 4 ,7 , 8 ทวิ , 72 ,72 ทวิ , เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริตเพื่อให้เกิดความเสียหาย ตามประมลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 270 , 309 , 312 , 312 ทวิ , 312 ตรี , 313 , 320 , 371 โดยการกักขังควบคุมตัวชาวเมียนมา และชาวบังคลาเทศ ซึ่งเป็นต่างด้าวในแคมป์ บริเวณเทือกเขาแก้ว เพื่อบังคับใช้แรงงานลักษณะการค้ามนุษย์นั้น ได้มีการทำร้ายร่างกายซึ่งมีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ซึ่งคดีนี้ ได้มีการโอนคดีจากศาลนาทวี มาพิจารณาคดีที่แผนกคดีค้ามนุษย์ของศาลอาญา เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2558 ที่ผ่านมา

ซึ่งคดีนี้มีผู้เสียหายได้เข้าเป็นโจกท์ร่วมด้วย และได้ยื่นคำร้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายในทางแพ่ง ซึ่งฝ่ายจำเลยได้โต้แย้งคัดค้านประเด็นแพ่งว่า จำเลยมิได้กระทำผิดจึงไม่จำเป็นต้องชดใช้ โจกท์ร่วมจึงไม่อาจเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งได้ อย่างไรก็ดีระหว่างพิจารณา นายสุรียา หรือโกชัย อาฮะหมัด หรืออาหะหมัด (จำเลยที่ 26 เสียชีวิต ) ปัจจุบันจึงเหลือจำเลยที่รอพิพากษา 102 คน

โดยตลอดพิจารณาคดีตั้งแต่ ปี 2558 จำเลยทั้งหมดไม่ได้รับการประกันตัว การฟ้องคดีอัยการก็ได้คัดค้านการให้ประกันตัวเนื่องจากเป็นคดีที่ร้ายแรงและมีอัตราโทษสูงถึงประหารชีวิตชั้นพิจารณาจำเลยให้การปฏิเสธต่อสู้คดี ซึ่งศาลทำการไต่สวนพยานรวม 116 นัดต่อเนื่องตั้งแต่เดือน มีนาคม 2559 เดือนละ 8 วันโดยไม่มีการเลื่อนคดีหรือยกเลิกนัด ขณะที่การสืบพยานฝ่ายจำเลยได้มีการร้องขอให้พิจารณาคดีลับสำหรับพยานจำเลยบางปากด้วยที่ต้องเบิกความในข้อเท็จจริงซึ่งเป็นประเด็นเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศชาติ ซึ่งศาลอนุญาตให้มีการพิจารณาเป็นการลับโดยให้มีเพียงคู่ความ ทนายความ กับเจ้าหน้าที่ศาลอยู่ในห้องพิจารณาและมีความจำเป็นต้องตัดสัญญาณทีวีวงจรปิดถ่ายทอดการพิจารณาด้วยกระทั่งศาลไต่สวนพยานจำเลยนัดสุดท้ายเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2560 ที่ผ่านมา และให้ฝ่ายจำเลยที่ประสงค์จะยื่นคำแถลงการณ์ปิดคดีเป็นลายลักษณ์อักษรยื่นต่อศาลภายใน 30 วันนับแต่คดีเสร็จการพิจารณา ซึ่งคดีนี้ โจทก์นำพยานไต่สวน 98 ปาก และจำเลย 111 ปากและพยานเอกสารทั้งสองฝ่าย

วันนี้ศาลได้เบิกตัวจำเลยทั้งหมดมาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯและทัณฑสถานหญิงกลาง เพื่อมาฟังคำพิพากษา โดยมีญาติจำนวนมากร่วมให้กำลังใจซึ่งศาลได้แยกให้ญาติร่วมฟังคำพิพากษาที่ห้อง 701 ซึ่งมีการต่อสัญญาณทีวีวงจรปิดถ่ายทอดภาพและเสียงการอ่านคำพิพากษาจากห้องพิจารณา 704 ที่ให้เฉพาะจำเลย 103 คนกับทนายความอยู่รวมเท่านั้นพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์

Advertisement

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลได้อ่านคำพิพากษานานกว่า13ชั่วโมง ทั้งนี้ ช่วงเวลา 13.20 น. ศาลอ่านคำพิพากษา โดยพิเคราะห์ความผิดในส่วนของนายปัจจุบัน หรือโกโต้ง อังโชติพันธุ์ อดีตนายก อบจ. สตูล จำเลยที่ 29 โดยโจทก์มีชาวโรฮีนจาเบิกความในฐานะผู้เสียหายว่า ได้ยินคนแวดล้อมของจำเลยที่ 29 เรียกจำเลย 29 ว่าเป็น “บิ๊กบอส” ทำให้เป็นจุดสนใจแก่พยานในการจดจำ โดยจำเลยที่ 29 ทำหน้าที่รับแรงงานชาวโรฮีนจาจากทะเลมาขึ้นฝั่งที่จังหวัดสตูล ก่อนนำแรงงานทั้งหมดไปพักไว้แคมป์คนงานเพื่อรอเวลาส่งตัวแรงงานหมดไปประเทศมาเลเซีย เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่แรงงานเสียชีวิตจำเลยที่ 29 จะเป็นคนนำผ้ามาให้ห่อศพแล้วนำไปฝังดิน

ขณะที่พยานเบิกความว่า รับรู้จากสามีของพยานว่าหากติดขัดปัญหาในการขนส่งต้องเจรจา “บิ๊กบอส” หรือจำเลยที่ 29 ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถขนส่งแรงงานได้ โดยในชั้นสอบสวน พยานสามารถชี้ยืนยันตัวว่า “บิ๊กบอส”คือจำเลยที่ 29 จากการเบิกความของพยานสอดคล้องกันว่า ทุกครั้งที่เกิดปัญหาจะมีจำเลยที่ 29 เกี่ยวข้องด้วยทุกครั้ง พยานหลักฐานโจทก์สอดคล้องกันยากต่อการปั้นแต่ง ที่จำเลยที่29 ต่อสู้เป็นการกล่าวอ้างลอยๆ ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 29 ขนชาวโรฮีนจา ผ่านจังหวัดสตูลขึ้นเทือกเขาแก้วก่อนส่งไปยังประเทศปลายทาง การกระทำของจำเลยที่ 29 จึงเป็นความผิดฐานเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ร่วมกันค้ามนุษย์เด็กอายุไม่เกิน 15 ปี , ร่วมกันค้ามนุษย์เด็กอายุเกิน 15 ปี แต่ไม่เกิน 18 ปี , ร่วมกันค้ามนุษย์อายุเกินกว่า 18 ปี , ร่วมกันตั้งแต่ 3 คนขึ้นไปกระทำผิดค้ามนุษย์ ต้องระวางโทษเป็น 2 เท่า , สมคบกัน 2 คนขึ้นไปเพื่อค้ามนุษย์ , ร่วมกันนำพาชาวต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร และ ให้ที่พักพิงชาวต่างด้าว

ขณะที่ ด.ต.อัศณีย์รัญ นวลรอด จำเลยที่ 7 เห็นว่าพยานเบิกความสอดคล้องกันว่าจำเลยที่ 7 โทรศัพท์ติดต่อกับกลุ่มจำเลยหลายคน แต่ไม่มีพยานหลักฐานยืนยันว่าจำเลยที่7 ร่วมกระทำผิดฐานค้ามนุษย์ แต่ปรากฏหลักฐานสมุดบัญชีเงินฝากที่มียอดเงินเดือนเข้าบัญชี เดือน 3,000 บาท โดยที่ไม่สามารถระบุที่มาได้ โดยหน้าที่ของจำเลยที่ 7 ต้องประจำอยู่ที่ด่านตรวจในพื้นที่ที่กลุ่มจำเลยต้องสัญจรผ่าน จำเลยเจ้าพนักงานรับเงินค่าผ่านทางในการขนส่งชาวโรฮีนจา จึงมีความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

ส่วนนายอาบู หรือ สจ.บู ฮะอูรา จำเลยที่ 14 ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนว่า ทำหน้าที่รับตัวชาวโรฮีนจาจากที่บ้านวังประจัน จ.สตูล ไปส่งประเทศมาเลเซีย พร้อมระบุการกระทำความผิดของจำเลยแต่ละคนที่ลักลอบค้าแรงงานต่างด้าว โดยเล่าเหตุที่มีการกระทำผิดอย่างละเอียดชัดเจน แม้ว่าในชั้นพิจารณาคดีจำเลยที่ 14 จะให้การปฏิเสธโดยเบิกความกลับไปมา เป็นข้ออ้างลอย ๆ ขาดเหตุผลสนับสนุน เชื่อว่าคำรับสารภาพในชั้นสอบสวน ทันทีหลังการจับกุมไม่นาน ไม่มีโอกาสปรุงแต่งเรื่อง จึงน่าเชื่อถือได้มากกว่า อีกทั้งมีพิรุธเงินในบัญชีจำนวน 4.2 ล้านบาทที่จำเลยที่ 14 อ้างว่า ได้รับโอนมาจากภรรยาจากการค้าขายอาหารทะเล กับจำเลยที่ 67 แต่จำเลยที่ 67 ประกอบอาชีพเกษตรกรไม่มีเหตุผลที่จะซื้ออาหารทะเลมูลค่ามากตามที่จำเลยที่ 14 อ้าง จึงเป็นการกล่าวอ้างลอย ฟังได้ว่าจำเลยที่ 14 มีความผิดฐานเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ , ร่วมกันตั้งแต่ 3 คนขึ้นไปกระทำผิดค้ามนุษย์ ต้องระวางโทษเป็น 2 เท่า, สมคบกัน 2 คนขึ้นไปเพื่อค้ามนุษย์

ในส่วนของจำเลยที่ยกฟ้อง เช่น นายหมัดยูโส๊บ หรือหยัด บิลเหล็ม จำเลยที่ 41 มีพยานว่าจำเลยได้ช่วยเหลือชาวโรฮิงญาหลบหนี นายสมบูรณ์ สันโด จำเลยที่ 35 และ นายสมพล อาดำ 37 ยังไม่พบความผิดปกติและความเชื่อมโยงทางการเงินกับการค้ามนุษย์ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย ขณะที่ นายมาเลย์ โต๊ะดิน จำเลยที่ 24, นายวุฒิ วุฒิประดิษฐ์ จำเลยที่ 36 และ นายหมาดสะอาด ใจดี จำเลยที่ 52 มีข้อมูลมาจาก นายอาบู หรือ ส.จ.บู ฮะอูรา จำเลยที่ 14 ทั้งสิ้น โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสนับสนุนว่ามีส่วนร่วมกับขบวนการค้ามนุษย์ พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักน้อย จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย

ต่อมาเวลา 15.30 น. ศาลได้พิเคราะห์ ถึงพฤติการณ์ของ นายสุวรรณ หรือโกหนุ่ย แสงทอง จำเลยที่ 17 และ นายปิยวัฒน์ หรือโกหย่ง พงษ์ไทย จำเลยที่ 22ซึ่งโจกท์มีหลักฐานข้อมูลการใช้โทรศัพท์ของจำเลยทั้งสอง วันที่ 1 -25 มกราคม 58 ที่มีการติดต่อกันถึง 48 ครั้ง ในช่วงเวลาแค่ 25 วัน ซึ่งถือว่ามีความถี่มากกว่าเหตุธรรมดาทั่วไป ขณะที่จากการนำสืบของพยานโจทย์ รับฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองคนได้ติดต่อกันเรื่องจัดหาเรือประมงเพื่อในการขนส่งชาวโรฮีนจา จำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกันค้ามนุษย์ บุคลกับบุคลที่มีอายุ 15-18 ปี ,มีส่วนร่วมองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ,ให้ที่พักพิงกับชาวต่างด้าว

นอกจากนี้ โจกท์มีเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนาย เบิกความสอดคล้องกันถึงพฤติการณ์ เชื่อมโยงกับขบงนการค้ามนุษย์ โดย นางทัศนีย์ สุวรรณรัตน์ จำเลยที่ 30 เป็นเจ้าของรถกระบะ ที่ขนแรงงานโรฮีนจาไปจังหวัดสงขลา ซึ่งถูกตำรวจจับได้ 2 ครั้งตั้งแต่ปี 56-57 แม้จำเลยจะอ้างว่าพี่สาวได้ยืมรถไปแต่ไม่ทราบว่านำไปใช้อะไร ก็เป็นเพียงข้อกล่าวอ้าง เพราะเมื่อครั้งแรกที่รถถูกจับ จำเลยเจ้าของรถก็ยอมทราบเรื่องว่าได้มีการนำรถไปกระทำผิด อีกทั้งยังมีหลักฐานการโอนเงินผ่านบัญชี ของจำเลยและพี่สาวด้วย

ส่วนพ.ต.ท.ชาญ อู่ทอง จำเลยที่ 31 ก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจพยานโจทก์ ให้การเบิกความสอดคล้องกัน ซึ่งรับฟังได้ว่าจำเลยทำหน้าที่คุ้มครองดูแลขบวนการค้ามนุษย์แรงงานโรฮีนจา และโจทก์ยังมีหลักฐานการรับโอนเงินระหว่างบัญชี ร.ต.ต.นราทอน สัมพันธ์ จำเลยที่ 33 กับ นายวิรัช หรือบังเสม เบ็ญโส๊ะ จำเลยที่ 27 เจ้าของเรือ เป็นเงิน 100,000 บาท โดยจำเลยที่ 33 จะดูแลกลุ่มที่ส่งแรงงานต่างด้าวทุกกลุ่ม ในพื้นที่ระนองและชุมพร ขณะเดียวกันยังพบหลักฐานการโอนเงินระหว่างบัญชีจำเลยที่ 33 และ นายชินพงษ์ ชาตรูประชีวิน และจำเลยที่ 92 อีกหลายครั้ง ซึ่งลำพังเงินเดือนของจำเลยที่ 33 จะอยู่ที่ 30,000 บาทแต่ ในการตรวจสอบบัญชีพบมีเงินหมุนเวียน 4 ล้านบาทแต่ในส่วนของนายจารึก สุวรรณรัตน์ จำเลยที่ 68 พยานหลักฐานยังฟังไม่ได้ว่า ทำผิดตามฟ้อง

สำหรับพล.ท.มนัส คงแป้น จำเลยที่ 54 ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนแยกที่ 1 ระนอง นั้นศาลเห็นว่าในช่วงที่มีการพบแรงงานเมียร์มาและบังคลาเทศ ซึ่งเป็นชาวโรฮีนจา ทางการได้มีนโยบายผลักดังกลุ่มแรงงานเหล่านี้ออกจากนอกประเทศ ซึ่งระหว่างที่พล.ท.มนัส จำเลย 54 ระหว่างที่ดำรงตำแหน่ง ผอ.กอ.รมน. ตำรวจสามารถจับกุมแรงงานต่างด้าวได้ 200 กว่าคน ซึ่งจะต้องทำการผลักดัน โดยส่งลงเรือลอยลำน่านน้ำสากล เพราะทั้งประเทศเมียนมา และบังคลาเทศ ไม่ยอมรับว่าบุคลดังกล่าวไม่ใช่พลเมือง แต่จากพยานหลักฐานโจทก์ พบว่าเมื่อมีการควบคุมแรงงานดังกล่าวแล้วได้ส่งให้จำเลยที่ 54 เพื่อผลักดันตามขั้นตอน แต่ขณะเดียวกันโจทก์ก็มีแรงงานโรฮีนจา ผู้เสียหายที่ถูกจับกุมช่วงดังกล่าว ให้การว่าเคยถูกจับกุมแล้วแต่ก็ได้รับการช่วยเหลือกลับมาเข้าแคมป์เทือกเขาแก้ว ซึ่งรับฟังได้ว่าแม้จะให้มีการผลักดันแรงงานออกน่านน้ำ ตามแผนพิทักษ์อันดามัน 1 แต่แรงงานก็สามารถกลับมาได้โดยความช่วยเหลือของเจ้าหน้าที่ ซึ่งจากรายงานประวัติรับราชการของจำเลยที่ 54 พบว่า ได้เป็น ผอ.กอ.รมน. ,ผู้บังคับการจังหวัดทหารบกชุมพร (ผบ.จทบ.ชุมพร) และ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 42 จ.สงขลา ช่วงระหว่วง ตุลาคม53 ถึงธันวาคม 57 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าช่วงเวลาที่จำเลยได้ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว มีความเชื่อมโยงในการผลักดันแรงงานโรฮีนจาออกนอกประเทศ ขณะที่ในการค้นบ้านพัก นางอรปภา จันทร์พ่วง จำเลยที่ 65 และ นางสาวศิริพร หรือแมว อุดมฤกษ์ จำเลยที่ 82 ก็พบหลักฐานเกี่ยวสลิปการโอนเงิน ซึ่งเชื่อมโยงบัญชี พล.ท.มนัส จำเลยที่ 54 ซึ่งพยานหลักฐานโจทก์ ปรากฏว่ามีการรับโอนเงิน ถึง 65 ครั้ง รวม 14,850,000 บาท โดยเป็นการโอนช่วงเดือนพฤศจิกายน.- ธันวาคม 55 ถึง 61 ครั้งเป็นเงิน 13,800,000 บาทเศษ และในช่วง เดือน สิงหาคม 56 อีก 2 ครั้ง เป็นเงิน 1ล้านบาทเศษ แม้ พล.ท.มนัส จำเลยที่ 54 จะต่อสู้ว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินที่ได้จากการพนันวัวชน,ซื้อขายวัวและเป็นเงินสนับสนุนจากเอกชนในการผลักดันแรงงานโรฮีนจานั้น จำเลยกลับไม่มีพยานหลักฐานเป็นเอกสารชัดเจน ขณะที่การผลักดันแรงงานรัฐก็มีงบประมาณสนับสนุนอยู่จึงเชื่อได้ว่าเงินที่ได้รับโอนบัญชีของจำเลยที่ 54 เป็นผลประโยชน์ที่เชื่อมโยงกับขบวนการค้ามนุษย์ โดยอาศัยอำนาจหน้าที่ในการคุ้มครองดูแลผู้กระทำความผิดในการค้ามนุษย์ ไม่ให้ถูกจับกุม การกระทำนั้นจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันสมคบกันตั้งแต่ 3 คนขึ้นไปกระทำผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ฯและมีส่วนร่วมเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งจำเลยที่ 54 เป็นเจ้าพนักงานจึงต้องระวางโทษ 2 เท่าของความผิดนั้น

นอกจากนี้ศาลยังพิเคราะห์ ถึงพฤติการณ์ ของ น.ส.ขวัญฤทัย จันทร์พ่วง จำเลยที่ 59 น.ส.สถาพร ชื่นทับ จำเลยที่ 60 นางอรประภา จันทร์พ่วง จำเลยที่ 65 นายพิศิษย์ เพ็ชรคีรี จำเลยที่ 74 นางผานิต ด้วงขุนนุ้ย จำเลยที่ 78 นางรุ่งกานต์ พิพัฒนวานิช จำเลยที่ 79 นายสรศักดิ์ ห่อมา จำเลยที่ 88 ที่มีส่วนร่วมรับโอนเงินที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์

ต่อมาเวลา20.45 น. ศาลอ่านบทลงโทษ โดยจำคุก พล.ท.มนัส คงแป้น อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก จำเลยที่54 เป็นเวลา 27 ปี ,นายอนัตตา หรือแกะ โชติบุญทอง จำเลยที่ 18 เป็นเวลา 77 ปี ,นายพิชัย หรือบ่องล๊ะ คงเอียงจำเลยที่28 เป็นเวลา 57 ปี 9 เดือน ,นายหมิด หมอชื่น จำเลยที่43 เป็นเวลา 51 ปี 4 เดือน ,นายปัจจุบัน หรือโกโต้ง อังโชติพันธุ์ จำเลยที่29 เป็นเวลา 75 ปี ,นายโคเทวย์ หรือโกทรี จำเลยที่16 และนายอูเซ็น จำเลยที่38 จำคุกคนละ 75 ปี นายอัลดุลลาซีด หรือซีด มันตะสุม จำเลยที่40 จำคุก50 ปี ,นายฮาซอล จำเลยที่57 และนายอับดุลนาเซท หรืออาบู นอช็อต จำเลยที่58 จำคุกคนละ 76ปี

นายสุวรรณ หรือโกหนุ่ย แสงทอง จำเลยที่17 นายสาแล๊ะ จางวาง จำเลยที่96 จำคุกคนละ 22 ปี ,นายสมรรถชัย หรือโบ้ ฮะหมัด จำเลยที่20 จำคุกคนละ 14 ปี8เดือน ,นายสาโรจน์ หรือบังสา แก้วมณีโชติ จำเลยที่ 8 นางทัศนีย์ สุวรรณรัตน์ จำเลยที่30 นายทนงศักดิ์หรือยี่สัน เหมมันต์ จำเลยที่45 นายสะอารี หรือสะหรี เขร็ม จำเลยที่48 นายถาวรหรือบังวร มณี จำเลยที่49 นายดีน หรือบังดีน เหมมันต์ จำเลยที่50 นายชาคริต หลงสาม๊ะ จำเลยที่51 นางจันทร์ตรี แซ่เตีย จำเลยที่81 จำคุกคนละ 23 ปี

นายมูปะกาส หรือบังกาด แขกพงศ์ จำเลยที่ 21 นายประสิทธิ์ หรือบังเหม แก้วประดับ จำเลยที่ 55 จำคุก11ปี6เดือน , นายสราวุธ หรือบังเครา พรหมกะหมัด จำเลยที่44 จำคุก15ปี 4เดือน , นายเจ๊ะมุสา หรือล้าน สีสัย จำเลยที่13 นายสถิต แหมถิ่น จำเลยที่19 จำคุก17ปี3เดือน ,พ.ต.ท.ชาญ อู่ทอง จำเลยที่31 ร.ต.ต.นราทอน สัมพันธ์ จำเลยที่ 33 นายอาบู หรือสจ.บู ฮะอุรา จำเลยที่14 จำคุก27ปี

นายบรรณจง หรือจง ปองผล จำเลยที่1 นายอ่าสัน หรือหมู่สัน อินทธนู จำเลยที่2 นายร่อเอ หรือเอ๋ สนยาแหละ จำเลยที่3 จำคุกคนละ78ปี

ทั้งนี้ศาลได้ยกฟ้องจำเลย 40 ราย โดยให้ขังจำเลย 28 ราย จาก 40 รายไว้ก่อนในระหว่างอุทธรณ์ และให้จำเลย 62 ราย ที่ศาลพิพากษาลงโทษ ร่วมกันชดใช้เงินค่าเสียหายต่อเสรีภาพ กับทุกข์ต่อจิตใจและร่างกาย และการขาดรายได้ทำมาหากินกับผู้เสียหายทั้งที่เป็นเด็กชาย 7 ราย กับผู้เสียหายที่อายุกว่า 15 ถึง 18 ปี จำนวน 58 คนด้วย ตั้งแต่รายละ 50,000 – 159,000 บาท รวมเป็นเงิน 4,400,250 บาท อย่างไรก็ดีเนื่องจากขณะนี้ล่วงเลยเวลาทำการแล้ว จำเลยที่ประสงค์จะยื่นประกันระหว่างต่อสู้อุทธรณ์นั้น ยังไม่สามารถยื่นคำร้องได้ โดยจำเลยจะต้องถูกคุมตัวไปขังยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพ และทัณฑสถานหญิงกลางก่อน โดยเมื่อเริ่มเวลาราชการสามารถยื่นประกันตัวได้ ส่วนจำเลย 12 ราย ที่ศาลไม่ได้มีคำสั่งให้ขังไว้ระหว่างอุทธรณ์ก็จะได้รับการปล่อยตัวที่เรือนจำต่อไป

ทั้งนี้ ผลคำพิพากษาดังกล่าวเป็นการตัดสินของศาลชั้นต้น กฎหมายยังเปิดโอกาสให้จำเลยยื่นอุทธรณ์สู้คดีได้อีกชั้นหนึ่ง โดยคดีนี้นับเป็นประวัติศาสตร์ของการอ่านคำพิพากษาคดีอาญามาราธอนนาน13 ชั่วโมง โดนองค์คณะฯ 9 คนผลัดเปลี่ยนอ่านคำพิพากษาโดยมีการพักเบรก 2 ครั้งๆละ 30 นาทีเท่านั้น และเป็นคดีแรกที่ได้มีการดำเนินคดีกับกลุ่มผู้บริหารท้องถิ่น , ข้าราชการ , ทหาร กระทั่งมีคำตัดสินลงโทษ ขณะที่คดีนี้ศาลใช้เวลาไต่สวนพยานกว่า 200 ปาก ช่วง มีนาคม2559 – วันที่24 กุมภาพันธ์2560

ภายหลังฟังคำพิพากษา นายชัชวร เปียกลิ่น ทนายความด.ต.อัศณีย์รัญ นวลรอด จำเลยที่ 7 กล่าวว่า ศาลอาญาพิพากษาจำคุกจำเลย 62 คน และยกฟ้องจำเลย40 คน ลูกความของตนเป็นจำเลยที่ 7 และเป็นตำรวจ ศาลมีคำพิพากษาให้ยกฟ้องในข้อหาอื่นทั้งหมด ยกเว้น ปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ให้จำคุก 4 ปี ถือว่าโทษไม่สูงมาก โดยศาลสั่งให้ขังจำเลยไว้ระหว่างอุทธรณ์ เราก็พอใจโทษที่ศาลตัดสินแต่มีสิทธิ์อุทธรณ์ เข้าใจว่าญาติคงขอยื่นประกันตัวระหว่างอุทธรณ์ แต่ศาลจะพิจารณาหรือไม่นั้นก็ไม่ทราบ

โดยนายชัชวร กล่าวว่า คดีนี้จำเลยที่ศาลยกฟ้อง เนื่องจากพยานหลักฐานไม่สามารถนำสืบได้ เพราะพยานหลักฐานอ่อน ไม่เพียงพอว่าได้กระทำผิด ส่วนที่ศาลลงโทษก็มีไม่เท่ากัน 70 -80 ปีก็มี ขึ้นอยู่กับว่าจำเลยเหล่านั้นได้กระทำความผิดในฐานความผิดอะไรบ้าง ส่วนมากจำเลยที่ศาลยกฟ้องจะยังให้ขังระหว่างอุทธรณ์ มีส่วนน้อยที่ศาลจะปล่อยเลย จำเลยที่ศาลปล่อยโดยไม่ขังระหว่างอุทธรณ์จะเห็นว่าพฤติการณ์ไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด แต่ที่ให้ขังระหว่างอุทธรณ์นั้นเพราะยังมีเหตุสงสัยอยู่ จึงควรให้ศาลอุทธรณ์เป็นผู้กลั่นกรองอีกครั้ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังอ่านคำพิพากษา มีญาติของจำเลยส่วนใหญ่ที่ถูกศาลลงโทษจำคุกอัตราโทษสูงถึงกับร่ำไห้ออกมา วันนี้มีญาติของจำเลยเดินทางมาฟังคำพิพากษาเป็นจำนวนมากซึ่งส่วนใหญ่มาจากพื้นที่ภาคใต้

โดยในวันนี้ศาลอ่านคำพิพากษาเสร็จเป็นเวลาเกือบ 22.00น.โดยมีการเริ่มอ่านตรงบทลงโทษตั้งเเต่ช่วงเวลา 21.00น.

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image