300 ผู้พิพากษาศาลชั้นต้น ลงชื่อ ชง.โมเดลใหม่ “ก.ต.”ศาลยุติธรรม ขอแบบ 4 คนเท่ากันทุกชั้นศาล

300 ผู้พิพากษาศาลชั้นต้น ลงชื่อชง.โมเดลใหม่ “ก.ต.”ศาลยุติธรรม”หลังรอแก้ร่าง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม สัดส่วน ก.ต.ขอย้อนของเดิมเท่ากัน 4 คนทุกชั้นศาล ชี้สัดส่วนศาลสูงมากกว่าศาลชั้นต้น ลักลั่นคุมโยกย้าย-ลงโทษวินัย เสมือนให้สิทธิสำคัญ ก.ต.ศาลฎีกาขัดเจตนารมรณ์ ปชต.ตัวแทน-มีส่วนร่วม

จากกรณีที่ สำนักงานศาลยุติธรรม ได้ออกหนังสือลงวันที่ 22 ส.ค.60 ประกาศรับฟังความคิดเห็น “ร่างพระราชบัญญัติ ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม (ฉบับที่…) พ.ศ… (องค์ประกอบคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม) ซึ่งร่างกฎหมายฉบับดังกล่าว มาตรา 36 (2) ได้บัญญัติถึง องค์ประกอบ , ที่มา , จำนวนและวิธีเลือกตั้งกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) โดยใน (2) ดังกล่าว บัญญัติว่า กรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 12 คน ซึ่งข้าราชการตุลาการในแต่ละชั้นศาลเว้นแต่ผู้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้พิพากษา เป็นผู้เลือกจากข้าราชการตุลาการในศาลของตนเอง ดังนี้ (ก) ศาลฎีกา ให้เลือกจากข้าราชการตุลาการที่ดำรงตำแหน่งในศาลฎีกา ในตำแหน่งที่ไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาศาลฎีกา จำนวน 6 คน , (ข) ศาลอุทธรณ์ ให้เลือกจากข้าราชการตุลาการที่ดำรงตำแหน่งในศาลชั้นอุทธรณ์ในตำแหน่งที่ไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ หรือผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค จำนวน 4 คน , (ค) ศาลชั้นต้น ให้เลือกจากข้าราชการตุลาการที่ดำรงตำแหน่งในศาลชั้นต้น ในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาหัวหน้าศาล จำนวน 2 คน

โดยล่าสุด วันที่ 3 ก.ย.60 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 1 ก.ย.60 ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นที่มีอาวุโสระดับบริหารในศาลพื้นที่ กทม.และส่วนกลาง รวม 300 คน ได้มีหนังสือสรุปข้อคิดเห็นเกี่ยวกับ “ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม (ฉบับที่…) พ.ศ… หลังจากสำนักงานศาลยุติธรรมได้ออกประกาศรับฟังความคิดเห็นในการแก้ไขกฎหมายได้บัญญัติถึง องค์ประกอบ , ที่มา , จำนวนและวิธีเลือก ก.ต.ว่า ผู้พิพากษาที่มีรายชื่อ ขอใช้สิทธิตามรัธรรมนูญฯ ปี 2560 มาตรา 77 วรรคสอง แสดงความคิดเห็นในประเด็นต่างๆ ดังนี้

1.ประเด็นที่มาของ ก.ต. ตามรัฐธรรมนูญฯ ปี 2560 มาตรา 196 บัญญัติว่า “ที่มาของ ก.ต.ผู้ทรงคุณวุฒิ ให้มาจาก ก.ต.แต่ละชั้นศาล” นั้น ซึ่งผู้พิพากษาทุกคนย่อมรู้อยู่แล้วว่าตนเองเป็นผู้พิพากษาในศาลชั้นใด แต่ตาม “ร่างพระราชบัญญัติ มาตรา 36 (2)” กลับบัญญัติ ถึงที่มาของ ก.ต.ผู้ทรงคุณวุฒิว่า “ให้เลือกจากข้าราชการตุลาการที่ดำรงตำแหน่งในศาลชั้น…” โดยจงใจหลีกเลี่ยงที่จะใช้ข้อความตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ ทำให้ที่มาของ ก.ต.ถูกตีความบิดเบือนไปจากเจตนารมณ์เดิมของรัฐธรรมนูญเพราะอาจทำให้ผู้พิพากษาสามารถแสดงความประสงค์เข้ารับการเลือกตั้งข้ามชั้นศาลของตนเอง และย่อมมีผลให้ผู้พิพากษาที่ได้รับเลือกตั้งในแต่ละชั้นศาลไม่ใช่ตัวแทนของผู้พิพากษาในศาลชั้นนั้นอย่างแท้จริง เช่น ผู้พิพากษาชั้นศาลฎีกาเมื่อมาดำรงตำแหน่งประธานศาลอุทธรณ์หรือประธานศาลอุทธรณ์ภาคหรืออธิบดีผู้พิพากษาในศาลชั้นต้น สามารถมาใช้สิทธิรับเลือกตั้ง ก.ต. ในสัดส่วนของศาลชั้นอุทธรณ์หรือศาลชั้นต้นได้ ซึ่งถือว่าเป็นบทบัญญัติที่ขัดหรือแย้งกับรัฐบาลนูญฯ ฉบับปัจจุบัน และไม่สอดรับกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฯ ที่ต้องการให้ คณะก.ต.ที่มีหน้าที่บริหารงานบุคคลต้องเป็นผู้ที่ได้รับเลือกตั้งมาจากผู้พิพากษาในชั้นศาลของตนเอง เนื่องจากผู้พิพากษาในชั้นศาลใดย่อมรู้สภาพปัญหาและสามารถสะท้อนความคิดเห็นของผู้พิพากษาในศาลชั้นนั้นๆได้ดีกว่าผู้พิพากษาศาลชั้นอื่น อันจะเป็นประโยชน์ในการบริหารงานบุคคลให้เป็นไปด้วยความถูกต้องเป็นธรรมอย่างแท้จริง

Advertisement

2.ประเด็นสัดส่วนของ ก.ต.นั้น ปัจจุบันอัตรากำลังซึ่งเป็นข้อมูลในปี 2560 ผู้พิพากษาศาลฎีกามีจำนวน 150 คน , ศาลชั้นอุทธรณ์ 750 คน และศาลชั้นต้น 3,849 คน แต่การกำหนดสัดส่วน ก.ต.ของศาลฎีกา , ศาลชั้น อุทธรณ์ และศาลชั้นต้น กลับมีสัดส่วน 6 : 4 : 2 ซึ่งเห็นได้ชัดว่า ก.ต.จากศาลฎีกาที่มีสัดส่วนจำนวนมากแต่ถูกเลือกมาจากผู้พิพากษาจำนวนน้อย นับว่าลักลั่นกันมากและไม่เป็นไปตามหลักสัดส่วนที่เหมาะสม ทำให้การลงมติในเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวกับการแต่งตั้งโยกย้ายหรือพิจารณาลงโทษทางวินัยของผู้พิพากษาโดยรวมขึ้นอยู่กับความเห็นของ ก.ต.ในชั้นศาลฎีกาเป็นสำคัญนั้นไม่สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตยแบบตัวแทนหรือแบบมีส่วนร่วม ทั้งที่ในปัจจุบันผู้พิพากษาในศาลชั้นต้นที่ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลขึ้นไปส่วนใหญ่มีอายุราชการเฉลี่ยประมาณ 18 – 23 ปีซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่มีวุฒิภาวะและประสบการณ์สูงพอสมควรที่จะเข้ามาเป็น ก.ต.ได้ดังนั้นการกำหนดสัดส่วน ก.ต.ให้เท่ากันแบบ 4 : 4 : 4 จึงเหมาะสมและเป็นธรรมต่อผู้พิพากษาในแต่ละชั้นศาล

3.ประเด็นการใช้สิทธิเลือกตั้ง ก.ต. ตาม “ร่างพระราชบัญญัติมาตรา 36 (2)” ที่กำหนดให้ผู้พิพากษาในแต่ละชั้นศาลเป็นผู้เลือกตั้ง ก.ต.นั้น เห็นว่า ก.ต.มีอำนาจให้คุณให้โทษแก่ผู้พิพากษาทุกชั้นศาลแต่ผู้พิพากษาในแต่ละชั้นศาลกลับไม่มีสิทธิเลือก ก.ต.ในศาลชั้นอุทธรณ์และศาลฎีกาได้เลยซึ่งอาจทำให้ ก.ต.ในศาลสูงที่มีสัดส่วน ก.ต.จำนวนมากที่ได้รับเลือกตั้งไม่ให้ความสำคัญต่อความคิดเห็นของผู้พิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งเป็นผู้พิพากษาส่วนใหญ่ของศาลยุติธรรมได้เนื่องจากไม่เป็นผู้มีสวนลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้ง ก.ต.ในชั้นศาลนั้น กรณีจึงเห็นสมควรเสนอแก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบของ ก.ต.ผู้ทรงคุณวุฒิในแต่ละชั้นศาล โดยตัดข้อความมาตรา 36 ใน “(2)(ข)(ค)” ออกทั้งหมด และใช้ข้อความต่อไปนี้แทน ” (2) ก.ต.ศาลยุติธรรมผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 12 คน ซึ่งข้าราชการตุลาการในทุกชั้นศาล เว้นแต่ผู้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้พิพากษา เป็นผู้เลือกจากข้าราชการตุลาการในทุกชั้นศาล ชั้นศาลละ 4 คน สำหรับศาลชั้นต้นให้เลือกจากข้าราชการตุลาการในตำแหน่งที่ไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาหัวหน้าศาล”

4.ประเด็นการใช้สิทธิของข้าราชการตุลาการซึ่งดำรงตำแหน่งที่เรียกชื่ออย่างอื่น หรือผู้ซึ่งได้รับคำสั่งให้ไปช่วยราชการในศาลอื่นนั้น ตามมาตรา 36 วรรคสอง บัญญัติให้ข้าราชการตุลาการซึ่งดำรงตำแหน่งที่เรียกชื่ออย่างอื่น หรือผู้ซึ่งได้รับคำสั่งให้ไปช่วยราชการในศาลอื่น ให้มีสิทธิเลือกและได้รับเลือกเป็น ก.ต.ศาลยุติธรรมซึ่งข้าราชการตุลาการผู้นั้นมีเงินเดือนอยู่ในชั้นศาลนั้นในขณะที่จัดให้มีการเลือก ก็ควรแก้ไขเพิ่มเติมโดยให้ใช้ข้อความว่า “ให้มีสิทธิเลือก ก.ต.ศาลยุติธรรมจากข้าราชการตุลาการในทุกชั้นศาล และมีสิทธิได้รับเลือกเป็น ก.ต.ศาลยุติธรรมในชั้นศาลของตนเอง” แทน และเพิ่มเติมข้อความใหม่ในวรรคท้ายว่า “ให้ ก.ต.ที่ได้รับเลือกตั้งดำรงตำแหน่ง ไปจนครบวาระ เว้นแต่ขาดคุณสมบัติโดยประการอื่น” ทั้งนี้เพื่อแก้ปัญหาไม่ต้องมีการเลือกตั้งซ่อมทุกปีเนื่องจากได้รับมาจากตัวแทนแต่ละชั้นศาลโดยแท้จริงแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการลงรายชื่อของผู้พิพากษาอาวุโสระดับบริหารในศาลชั้นต้นดังกล่าว รวม 300 รายชื่อนั้น ยังไม่ได้ยุติเพียงเท่านี้แต่ยังมีรวบรวมรายชื่อเพิ่มเติมในส่วนของผู้พิพากษาศาลชั้นต้นในพื้นที่อื่นทั่วประเทศด้วยซึ่งคาดการณ์ว่าจะรวบรายชื่อผู้พิพากษาศาลชั้นต้นนั้นให้ได้ถึง 1,000 ชื่อ จากจำนวนผู้พิพากษาศาลชั้นต้นที่มีทั้งหมดกว่า 3,800 คน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image