พลิกแฟ้มคดี’เงินทอนวัด’ลอต2…ต้นสายปลายเหตุ’4พระเถระ’โดนร่างแห?!!

กรณีเจ้าหน้าที่กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ปปป.)ลุยตรวจสอบคดีทุจริตเงินทอนวัด หรือการทุจริตงบอุดหนุนบูรณะปฎิสังขรณ์วัดและพัฒนาวัด ลอตแรก12วัด ตั้งแต่ปี 2555-2559 ความเสียหายประมาณ 60 ล้านบาท มีผู้ต้องหา 10 ราย พร้อมส่งสำนวนให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิด ไปแล้วนั้น

ต่อมาปปป.ปฏิบัติการ ลุยสอบทุจริตเงินทอนวัดลอต2 นับเป็นลอตใหญ่ เมื่อวันที่ 21 กันยายน โดยปปป.นำกำลังเข้าตรวจค้นบ้านบุคคลต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตเงินทอนวัดล็อต2รวม 14 จุด ใน 7 จังหวัด ประกอบด้วย กรุงเทพฯ นนทบุรี ขอนแก่น ระนอง สิงห์บุรี นครปฐม และสมุทรสาคร เป็นการทุจริตงบประมาณอุดหนุน3ประเภท คือ 1.อุดหนุนบูรณะปฎิสังขรณ์วัดและพัฒนาวัด 2.อุดหนุนส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และ3.อุดหนุนการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา-แผนกธรรม-แผนกบาลี จำนวน 23 วัด ตั้งแต่ปี 2555-2560 ความเสียหายประมาณ 140 ล้านบาท

ครั้งนี้เจ้าหน้าที่มีหลักฐานดำเนินคดีกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง 19 ราย และอยู่ระหว่างเรียกมารับทราบข้อกล่าวหา มี นายพนม ศรศิลป์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(อดีตผอ.พศ.) นายณรงค์เดช ชัยเนตร ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด(พศจ.)สิงห์บุรี นายพัฒนา สุอำมาตย์มนตรี นักวิชาการพศ. นายฉัตรชัย ชูเชื้อ ผอ.กองพุทธศาสนสถาน พศ. นายพยงค์ สีเหลือง นายช่างโยธา ชำนาญงาน พศ. และนางณัฐฐาวดี ตันตยาวิสารสุทธิ นักวิชาการ พศ. โดยกลุ่มนี้เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาแล้ว

ส่วน นายบุญเลิศ โสภา อดีตผอ.กองพุทธศาสนศึกษา นางพรเพ็ญ กิตติธรางกูร ผอ.กลุ่มการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญ พศ. นายวิโรจน์ อุ่นทรัพย์ ผู้ตรวจราชการ พศ. นายแก้ว ชิดตะขบ ผอ.การสำนักงานพระพุทธศาสนา จ.สมุทรสงคราม นายไพฑูรย์ กรรณโม (ไม่ทราบตำแหน่ง) ยังไม่มารับทราบข้อกล่าวหา

Advertisement

รวมถึงผู้ต้องหา5คน ที่เคยตกเป็นผู้ต้องหาในคดีทุจริตเงินทอนวัดล็อตแรก และมีชื่อในล็อต2ด้วย มี นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ อดีตผอ.พศ.(หนีไปต่างประเทศ) นายวสวัสดิ์ กิตติธีระสิทธิ์ ผอ.ส่วนบูรณะพัฒนาวัดและการศาสนสงเคราะห์ พศ. นางประนอม คงพิกุล รองผอ.พศ. และนายศิวโรจน์ ปิยรัตน์เสรี(ไม่ใช่ข้าราชการ)

ส่วนที่เหลือเป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่4รูป มี พระครูกิตติพัชรคุณ เจ้าอาวาสวัดลาดแค จ.เพชรบูรณ์ และเจ้าคณะอำเภอชนแดน พระราชรัตนมุนี เลขานุการสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดพิชยญาติการาม ย่านคลองสาน กทม. พระเทพเสนาบดี เจ้าอาวาส วัดกวิศรารามฯ ต.ท่าหิน อ.เมือง จ.ลพบุรี และเจ้าคณะจังหวัดลพบุรี และพระครูวิสุทธิวัฒนกิจ ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดราชสิทธารามฯ ย่านบางกอกใหญ่ กทม.

ทั้งนี้จากการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ปปป.สรุปสำนวน โดยกล่าวหาพระเถระชั้นผู้ใหญ่4รูปและเจ้าหน้าที่ พศ. ดังนี้ 1.พระครูวิสุทธิวัฒนกิจ ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดราชสิทธารามฯ ปปป.ได้ตรวจสอบใน2เรื่อง คือ 1. วัดมีการเรียกขอรับเงินทอนจาก พศ. หรือไม่ จากการตรวจสอบไม่พบว่ามีการเรียกรับเงินในนามวัด 2.เกิดจากการกระทำส่วนตัวของพระรูปหนึ่ง โดยเจ้าหน้าที่ปปป.ตรวจสอบพบว่า ประมาณปี 2556 พระครูวิสุทธิวัฒนกิจ ได้รับการติดต่อจากนายวสวัสดิ์ กิตติธีระสิทธิ์ ผอ.ส่วนบูรณะพัฒนาวัดและการศาสนสงเคราะห์ พศ. กรณีจัดสรรงบประมาณ4.9ล้านบาทและโอนมาให้พระครูวิสุทธิวัฒนกิจ โดยนายวสวัสดิ์ขอรับเงินทอนคืน4.8ล้านบาท ทั้งนี้นายวสวัสดิ์รู้จักกับพระครูวิสุทธิวัฒนกิจ เนื่องจากนายวสวัสดิ์เคยบวชเณรที่จ.อำนาจเจริญ และมาจำพรรษาอยู่กับพระครูวิสุทธิวัฒนกิจ ที่วัดราชสิทธาราม

Advertisement

โดยกรณีนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจปปป.เห็นว่า นายวสวัสดิ์ เข้าข่ายความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ใช้อำนาจหน้าที่เบียดบังทรัพย์เป็นของตนเอง และมาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยมิชอบ ส่วนพระครูวิสุทธิวัฒนกิจ ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 147 มาตรา 157 และมาตรา 86 ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิด ก่อนหรือขณะกระทำ ความผิด แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความ สะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ต้องระวางโทษ2ใน3ส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่ สนับสนุนนั้น

2.พระราชรัตนมุนี ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดพิชยญาติการาม ย่านคลองสาน กทม. โดยเจ้าหน้าที่ปปป.สืบสวนสอบสวนพบว่า พระราชรัตนมุนี เคยเรียนมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย(มจร.)กับนายณรงค์เดช ชัยเนตร ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด(พศจ.)สิงห์บุรี ต่อมามีการติดต่อขอจัดสรรงบประมาณไปที่วัดห้วยทรายขาว จ.พะเยา 3ล้านบาท ซึ่งเป็นบ้านเกิดของพระราชรัตนมุนี โดยนายณรงค์เดช เป็นคนติดต่อ และขอเงินทอนคืน1.5ล้านบาท

กรณีนี้มีการดำเนินคดีกับ นายณรงค์เดช ตามมาตรา 147 มาตรา 157 และ มาตรา 149 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่5-20ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่2,000-40,000บาท หรือประหารชีวิต ส่วนพระราชรัตนมุนี ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 147 มาตรา 157 มาตรา 149 และมาตรา86

3.พระเทพเสนาบดี เจ้าอาวาสวัดกวิศรารามฯ ต.ท่าหิน อ.เมือง จ.ลพบุรี และเจ้าคณะจังหวัดลพบุรี เจ้าหน้าที่ปปป.สืบสวนสอบสวน พบว่า ที่วัดกวิศรารามฯ เคยจัดตั้งโรงเรียนปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ต่อมามีหนังสือขอยกเลิกแผนกสามัญศึกษา ไปถึง พศ. คงเหลือแต่โรงเรียนปริยัติธรรมแผนกบาลี โดยพศ.อนุมัติยกเลิก ก่อนแจ้งให้กรรมการมหาเถรสมาคม(มส.)รับทราบ แต่หลังจากนั้นปี 2556-2557 ปรากฏว่ามีการจัดงบประมาณให้กับโรงเรียนปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ทั้งที่ไม่มีแผนกดังกล่าวแล้ว โดยนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ อดีตผอ.พศ. อนุมัติงบประมาณ 3 ครั้ง ครั้งละ10 ล้านบาท รวม30ล้านบาท โดยมีชื่อนายพนม ศรศิลป์ ขณะเป็นรองผอ.พศ. นายบุญเลิศ โสภา อดีตผอ.กองพุทธศาสนศึกษา นางพรเพ็ญ กิตติธรางกูร ผอ.กลุ่มการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญพศ. เป็นผู้เสนอเรื่องอนุมัติงบประมาณ

โดยทั้ง4คนเข้าข่ายการกระทำตาม มาตรา 147 มาตรา 157 และมาตรา 162(4)ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ทำเอกสาร รับเอกสารหรือกรอกข้อความลงในเอกสาร กระทำการดังต่อไปนี้ในการปฏิบัติการตามหน้าที่ โดยรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้น มุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน7ปี และปรับไม่เกิน14,000บาท

นอกจากนี้จากการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ปปป.พบว่า มีการนำงบประมาณดังกล่าวจำนวน 30 ล้านบาท รวมกับงบบูรณะฯวัดอีก8ล้านบาท มาสร้างโรงเรียนมานิต2 ตั้งอยู่ในที่ดินวัดกวิศรารามฯ โดยเป็นโรงเรียนสายสามัญ ขึ้นกับกระทรวงศึกษาธิการ ไม่เกี่ยวข้องกับ พศ.

และ4.พระครูกิตติพัชรคุณ เจ้าอาวาสวัดลาดแค จ.เพชรบูรณ์ และเจ้าคณะอำเภอชนแดน เจ้าหน้าที่ตำรวจปปป.สืบสวนสอบสวนพบว่า พระครูกิตติพัชรคุณ รู้จักกับนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ อดีตผอ.พศ. มานาน โดยเมื่อครั้งนายนพรัตน์ เป็นรองผอ.เคยมาทอดกฐินที่วัดนี้ ทั้งนี้ปี 2555 มีการโอนงบประมาณให้วัด2ล้านบาท และมีการขอเงินทอนคืน1.2ล้านบาท โดยมีการนำรถของพศ.มารับเงินจำนวนดังกล่าวหน้าที่ว่าการอำเภอหนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์

จากนั้นปี 2558 หลังนายนพรัตน์ เกษียณแล้ว แต่นายนพรัตน์ ยังติดต่อไปยังพระครูกิตติพัชรคุณ โดยสอบถามว่ามีลูกศิษย์อยู่ที่วัดอื่นหรือไม่ โดยพระครูกิตติพัชรคุณ ได้ติดต่อไปยังวัดโคกสารสัจจธรรม และ วัดณาณเมธี ต่อมามีการโอนงบประมาณ ให้วัดลาดแค 3 ล้านบาท วัดโคกสารสัจจธรรม 3 ล้านบาท และวัดญาณเมธี 2 ล้านบาท รวม8ล้านบาท โดยมีการขอเงินทอนกลับจำนวน 5,050,000 บาท

ต่อมาปี2559 มีการดำเนินการลักษณะเดียวกัน กับวัดในจ.นครสวรรค์ 3 วัด อนุมัติงบประมาณวัดละ2ล้านบาท รวม6ล้านบาท และรับเงินทอน3วัด รวม1.5 ล้านบาท วัดในจ.ตาก 3วัด อนุมัติงบประมาณวัดละ2ล้านบาท รวม6ล้านบาท ได้รับเงินทอนคืน 4.5 ล้านบาท และวัดในจ.ชุมพร รวม3วัด วัดละ2ล้านบาท รวม6 ล้านบาท ได้รับเงินทอนคืน 5.2ล้านบาท รวม9วัดได้รับเงินทอนคืน11.2ล้านบาท

กรณีนี้มีการดำเนินคดีกับนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ อดีตผอ.พศ. นายฉัตรชัย ชูเชื้อ ผอ.กองพุทธศาสนสถาน พศ. ตามมาตรา 147 มาตรา 157 และมาตรา 162(4) ส่วนพระครูกิตติพัชรคุณ ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 147 มาตรา 157 มาตรา 86 และมาตรา 162(4)

ทั้งนี้ ข้อมูลการสืบสวนสอบสวนดังกล่าว ปปป.ส่งไม้ต่อให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)รับไปดำเนินการในวันที่ 26 กันยายน อย่างไรก็ดีทั้งฆราวาสที่ถูกกล่าวหา15คน และพระเถระ4รูป ยังมีโอกาสนำพยานหลักฐานชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา

และน่าสนใจว่า หากพระเถระผู้ใหญ่ได้กระทำลงไปโดยไม่รู้ว่า พศ.ขอเงินทอนวัดไปทำอะไร และให้โดยความบริสุทธิ์ใจ จะยังมีความผิดหรือไม่ เมื่อตามประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา 86 ระบุว่า ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิด ก่อนหรือขณะกระทำความผิด แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ต้องระวางโทษ2ใน3ส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น?!!

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image