‘บิ๊กต๊อก’ชี้ ‘ดีเอสไอ’ ออกหมายเรียก ‘สมเด็จช่วง’ ได้ทันที จวกลูกศิษย์ หัวหมอ ไม่ถูกกาลเทศะ

พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม
พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม

เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 18 มีนาคม ที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีการออกหมายเรียกสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งเป็นผู้ครอบครองรถโบราณ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ทะเบียน ขม 99 กรุงเทพมหานคร ว่า ที่ผ่านมาตนไม่เคยไปสั่งลงรายละเอียดกับหน่วยงานอื่นเลย แต่เรื่องนี้ที่ตนสั่งเพราะสมเด็จช่วงเป็นพระชั้นผู้ใหญ่ มีฐานะทางสังคม อีกทั้งยังเป็นประเด็นที่มีความอ่อนไหว เราจึงต้องทำอะไรที่เป็นการให้เกียรติกัน และการให้เกียรติมันก็ไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมายอะไร และเราก็ได้สิ่งที่เราต้องการด้วย ดังนั้น การไม่ออกหมายเรียกก็ไม่ใช่ว่าเราจะทำหนังสืออื่นชดเชยแทนไม่ได้ ซึ่งมันก็ทำให้ทุกอย่างดูนุ่มนวลลง เหมือนการที่ดีเอสไอไม่ต้องไปยึดรถ แต่เอารถมาส่งให้ ตัวอย่างเช่น เมื่อเขาไปเจอปืนเถื่อนในบ้านคุณ และพรุ่งนี้คุณเอาไปคืนโรงพัก เขาจะพูดอย่างนี้หรือเปล่า ซึ่งมันก็ไม่ใช่ มันก็แบบเดียวกัน และท้ายที่สุดรถคันนี้จะหายไปไหนได้ เขาก็ต้องเอามาคืน

พล.อ.ไพบูลย์กล่าวต่อว่า ส่วนการไปพบพระเถระชั้นผู้ใหญ่ก็ให้เอาดอกไม้ธูปเทียนแพไปกราบด้วย เพราะเรามีศาสนาพุทธ ก็ทำให้เหมาะสมกับศาสนานั้นๆ ฉะนั้น ตนค่อนข้างจะเข้าไปดูแลเรื่องพวกนี้มาก เพราะปกติตนจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง เนื่องจากเป็นหน้าที่ที่เจ้าหน้าที่ทำได้อยู่แล้ว แต่เรากลัวเรื่องการให้เกียรติ จึงต้องลงไปเน้นย้ำ กระทั่งวันที่ดีเอสไอเข้าไปพบสมเด็จช่วงที่ไม่ยอมให้ปากคำ และมีการบอกกับเจ้าหน้าที่ให้นำโทรศัพท์ออกไปไว้ข้างนอก ซึ่งเราก็ไม่ได้ว่าอะไร และไม่เป็นไร เพราะเห็นแก่สมเด็จช่วง แต่เผอิญว่าการให้สัมภาษณ์ของฝั่งทนายความพูดไม่ค่อยดี และพอมีคนมาสัมภาษณ์ ตนจึงได้ควันออกหู ซึ่งตนก็ไม่อยากต่อล้อต่อเถียง แต่การให้สัมภาษณ์แบบนั้นมันไม่ได้

รมว.ยุติธรรมกล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่มีการยื่นข้อเสนอโดยให้เรากำหนดประเด็นในการสอบปากคำสมเด็จช่วงนั้น มันทำไม่ได้ หากสมมุติว่าเราตั้งคำถามไป 3-4 ประเด็นแล้วให้ตอบกลับมา และเกิดในประเด็นที่ตอบกลับมายังไม่ชัดเจน ไม่เคลียร์ ก็ต้องถามกลับไปใหม่ และการถามกลับไปกลับมามันจะกี่ครั้ง แต่การที่เรามาคุยกันว่าการพูดอย่างนี้หมายความว่าอย่างไร หรือตรงนี้คืออะไร ซึ่งแบบนี้คือการสอบปากคำ เป็นการกระทำโดยโต้ตอบ เพราะท้ายที่สุดแล้วของพวกนี้ก็จะไปประกอบหลักฐาน เพื่อที่จะสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง ไม่เช่นนั้นมันก็จะเป็นประเด็นขึ้นอีก เมื่อคุณตอบคำถามมาแล้วตนเข้าใจเป็นอย่างนี้ และผนวกเลยว่าผิด ตนก็เอาเลย มันไม่ใช่ ดังนั้น มันต้องถาม และคนที่ตอบก็คือสมเด็จช่วง เพราะทนายจะไปรู้ได้อย่างไร อีกทั้งระหว่างการสอบปากคำทนายก็ไม่สามารถตอบแทนได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะต้องออกหมายเรียกสมเด็จช่วงให้มาสอบปากคำเลยหรือไม่ พล.อ.ไพบูลย์กล่าวว่า ใช่ ต้องออกหมายเรียกมาสอบปากคำ จะไม่ส่งหนังสือโดยการตั้งคำถามไปเป็นประเด็นอย่างที่ทนายความของวัดเป็นคนบอก เพราะมันทำไม่ได้ และที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีวิธีการลักษณะนี้มาก่อน อีกทั้งตนได้สอบถามไปยังอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) หรือทางตำรวจก็บอกว่าไม่เคยมี การสอบปากคำก็คือการสอบปากคำ ส่วนจะเชิญมาที่นี่หรือที่ไหนก็ระบุไป เพราะการสอบปากคำจะต้องเป็นการให้ถ้อยคำด้วยตัวเอง ซึ่งตามหลักการแล้วต้องไม่มีทนายเข้าฟังด้วย แต่ดีเอสไอก็ผ่อนปรนให้ อีกทั้งที่ผ่านมาทางวัดก็เป็นคนนัดเอง เขานัดเราทุกอย่าง และมาให้สัมภาษณ์แบบนี้

Advertisement

“ผมเตือนอธิบดีว่าให้คุยให้เรียบร้อยว่าขั้นตอนเป็นอย่างไร จะใช้ห้องไหน มีใครเข้าฟังบ้าง โดยให้คุยให้เสร็จแล้วค่อยไปสอบปากคำ และสั่งด้วยว่า คนที่จะไปต้องเป็นระดับรองอธิบดีขึ้นไป คุณจะเอาเด็กๆ ไปไม่ได้ ซึ่งผมสั่งขนาดนี้ และท้ายที่มันออกมาอย่างนั้นมันก็ไม่ใช่ ซึ่งเรื่องทั้งหมดก็เป็นเรื่องที่คุยกันเรียบร้อยแล้ว และพอแถลงมาแบบนี้ก็ทำให้ผมไม่สบายใจ” พล.อ.ไพบูลย์กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า ในสัปดาห์หน้าจะมีการออกหมายเรียกเลยหรือไม่ พล.อ.ไพบูลย์กล่าวว่า เท่าที่ถามกับอธิบดีดีเอสไอ ทราบว่าวันนี้ก็สามารถออกหมายเรียกได้ ถ้าเขาจะออก แต่ตนไม่แน่ใจว่าเขาจะออกเมื่อไหร่ เพราะเป็นอำนาจของพนักงานสอบสวน ก็ออกได้เลย เพียงเซ็นไปเท่านั้น ก็ควรจะเป็นอย่างนั้น เพราะหนังสือส่งไปแล้ว และเจตนารมณ์ในหนังสือก็ระบุชัดเจนว่าเราต้องการอะไร และการประสานภายในก็ชัดเจน ทุกสื่อก็รู้หมดว่าดีเอสไอไปทำอะไร คือมันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่รู้ แต่มันเป็นการตั้งแง่ที่ทำให้มันยุ่งยากขึ้นไปอีก

“ผมจึงได้บอกว่า สมเด็จช่วงไม่รู้เรื่องหรอก แต่ลูกศิษย์ก็พยายามหัวหมอบ้างอะไรบ้าง ซึ่งมันไม่ถูกกาลเทศะ ส่วนสมเด็จช่วงจะตอบข้อซักถามได้เท่าไหนก็เท่านั้น เจตนารมณ์คือสอบปากคำท่าน ถ้ารู้ก็คือรู้ ถ้าไม่รู้ก็คือไม่รู้ เพราะระบบการสอบมันเป็นแบบนี้ มันไม่ใช่ข้อแม้ว่ารู้แค่ไหน ถ้ารู้แค่ไหนก็ตอบแค่นั้น ทนายจะตอบแทนได้หรือไม่ มันก็ไม่ได้ มันไม่ใช่ในชั้นศาล เพราะในชั้นศาลมันค้านแทนได้ แต่นี่ไม่ได้ เพราะมันเป็นการประกอบพยานหลักฐานของพนักงานสอบสวน ก่อนส่งให้อัยการ ซึ่งขั้นตอนมันเป็นทีละขั้น ไม่ใช่ว่าพนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้อง แต่อัยการจะต้องมีความเห็นเช่นเดียวกัน มันก็ไม่ใช่ เพราะอัยการก็อาจจะมีความเห็นต่างออกไปได้” พล.อ.ไพบูลย์กล่าว

Advertisement

ด้าน พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า ในส่วนของสมเด็จช่วงนั้น ขึ้นอยู่กับทางท่านแล้วจะให้สอบปากคำหรือไม่ ดีเอสไอจะไม่ทำหนังสือชี้แจงประเด็นสอบไปให้ หากท่านไม่ประสงค์จะให้ถ้อยคำอีก ทางพนักงานสอบสวนจะดำเนินการตามพยานหลักฐานที่มีอยู่ได้เลย ในส่วนพระมหาศาสนมุนี หรือหลวงพี่แป๊ะ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำฯ และเลขานุการส่วนตัวสมเด็จช่วง ขณะนี้พนักงานสอบสวนดีเอสไอ ประสานทนายความหลวงพี่แป๊ะ และรอคำตอบว่าท่านจะเข้ามาให้ปากคำที่ดีเอสไอหรือจะให้ไปสอบที่วัดในวันที่ 21 มีนาคมนี้ ทั้งนี้ ในวันที่ 22 มีนาคม คณะพนักงานสอบสวนจะประชุม คาดว่าจะมีบทสรุปเบื้องต้นและเห็นภาพชัดเจนมากขึ้นว่าใครจะตกเป็นผู้ต้องหาและพยานในคดีนี้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image