อัยการบังคับคดี ส่งหนังสือถึง 13 แกนนำพธม. ทวงชดใช้ 522 ล้านพร้อมดอกเบี้ย ตามคำพิพากษาปิดสนามบิน!

เมื่อวันที่ 6 มกราคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อวันที่ 25 ธันวาคมที่ผ่านมา สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายการบังคับคดี 1 มีหนังสือ เเจ้งชำระหนี้ตามคำพิพากษา เเนบพร้อมด้วยสำเนาหมายบังคับคดีเเพ่ง คดีหมายเลขดำที่ 6453,6474/2551 ถึง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง, นายสนธิ ลิ้มทองกุล, นายพิภพ ธงไชย, นายสุริยะใส กตะศิลา, นายสมศักดิ์ โกศัยสุข, นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์, นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์, นายอมร อมรรัตนานนท์ หรือนายรัชต์ชยุตม์ ศิรโยธินภักดี, นายนรัญยู หรือศรัณยู วงษ์กระจ่าง, นายสำราญ รอดเพชร, นายศิริชัย ไม้งาม, นางมาลีรัตน์ แก้วก่า และนายเทิดภูมิ ใจดี แกนนำกลุ่มแนวร่วมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.)

“โดยหนังสือเเจ้งชำระหนี้มีเนื้ อหาว่า สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายการบังคับคดี 1 ได้รับสำเนาหมายการบังคับคดีจากบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) โจทก์มาดำเนินการเกี่ยวกับการบังคับคดี จึงอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.องค์กรอัยการเเละพนักงานอัยการ 2553 จึงเเจ้งให้บุคคลทั้ง 13 คนชำระหนี้ตามคำพิพากษา ศาลเเพ่งที่ได้มีคำพิพากษาให้จำเลยทั้งบุคคลทั้ง 13 คน ร่วมกันชำระหนี้ จำนวน 522,160,947.31 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับเเต่วันที่ 1 ธันวาคม 2551 เเละให้ร่วมกันชำระค่าธรรมเนียมเเละทนายความเเทนโจทก์เป็นเงิน 597,847 บาทให้เเก่ ทอท.โจทก์ มิเช่นนั้นโจทก์จะนำพนักงานบังคับคดีไปยึดอายัดทรัพย์สินของบุคคลทั้ง 13 คนขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระหนี้เเก่โจทก์” รายงานข่าวระบุ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีนี้ที่สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายการบังคับคดี 1 สำนักงานอัยการสูงสุดมีอำนาจที่จะสามารถดำเนินการบังคับคดีในนามของรัฐที่หน่วยงานของรัฐเป็นโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายในนามของรัฐได้หากส่วนราชการเป็นผู้ชนะคดีตาม พ.ร.บ.องค์กรอัยการฯโดยที่ไม่จำเป็นว่าคดีดังกล่าวอัยการจะเป็นโจทก์ฟ้องเองหรือไม่ โดยมูลเหตุคดีนี้เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 24 พฤศจิกายน-3 ธันวาคม 51 พวกจำเลย ร่วมกันนำผู้ชุมนุมหลายหมื่นคน ไปบุกยึดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและดอนเมือง เพื่อประท้วงรัฐบาลและขับไล่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ขณะนั้น ทำให้การให้บริการต่างๆ ภายในท่าอากาศยานทั้งสองต้องหยุดลง สำหรับคดีนี้มีการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อเดือนมิถุนายน 58 ซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ 13 แกนนำ พธม.ร่วมกันชดใช้เงินกว่า 522 ล้านบาทแล้ว ต่อมา ทอท.โจทก์ได้ขอให้ศาลออกหมายคดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาเนื่องจากจำเลยไม่ได้ยื่นฎีกาในระยะเวลา

กระทั่งต่อมา 13 แกนนำ พธม.ได้ยื่นคำขออนุญาตขยายฎีกาโดยอ้างเหตุสุดวิสัยการปิดหมายแจ้งคดี ตามประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ต่อศาลแพ่ง ที่เป็นศาลชั้นต้นปรากฏว่าศาลยกคำร้อง ซึ่งศาลอุทธรณ์ก็มีคำสั่งเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 59 โดยยกคำร้องเช่นเดียวกัน เนื่องจากเห็นว่าศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีร่วมกันปิดสนามบินโดยชอบแล้ว ในปี 2559 ทนายความผู้รับมอบอำนาจของ 13 แกนนำ พธม.จึงได้ยื่นฎีกาเกี่ยวกับคำขอขยายเวลาฎีกานี้ ต่อศาลฎีกาอีก ซึ่งต่อมาวันที่ 21 กันยายน 60 ศาลฎีกาได้ยกคำร้องขอขยายเวลาฎีกาของจำเลยแล้ว ผลแห่งคดีแพ่งนี้จึงถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ 13 แกนนำ พธม.ร่วมกันชดใช้เงิน 522,160,947.31 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ซึ่งตกคนละประมาณ 40,166,226 บาทเศษ

เเละในคดีอาญาปิดสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ ที่อัยการเป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พล.ต.จำลอง, นายสนธิ และแกนนำ พธม. กับผู้ชุมนุม รวม 98 รายต่อศาลอาญานั้น คดีอยู่ระหว่างการสืบพยานโจทก์ โดยรอสืบพยานอีกครั้งเดือนมีนาคม 61

Advertisement

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image