เมื่อเวลา 15.00 น.วันที่ 13 มี.ค. ที่ กองบังคับการปราบปราม(บก.ป.) พล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผบก.ป.เปิดเผยความคืบหน้าคดีหวยอลเวง 30 ล้านบาท เกี่ยวกับกรณีที่นายฐนุกร เหลืองใหม่เอี่ยม หรือแผน ซึ่งอ้างว่าเป็นผู้เห็น ร.ต.ท.จรูญ วิมล ก้มเก็บลอตเตอรี่ เดินสายเข้าร้องเรียนตามหน่วยงานต่างๆว่าถูก พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผบช.ก. และเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบฯ กว่า 30 นาย บังคับให้กลับคำให้การและข่มขู่ว่าจะต้องถูกจับติดคุกแน่ หากไม่ยอมทำตาม นั้นว่า สำหรับนายแผนนั้น ถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่ 2 ของคดี หรือ กลุ่มพยานบุคคลในสำนวน ซึ่งเมื่อพิจารณาจากคำให้การเดิมในสำนวนของ ตำรวจ ภ.7 นั้นพบว่า เป็นการให้การเท็จ จึงได้มีการออกหมายเรียกให้มารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 15 มีนาคม ที่จะถึงนี้ ซึ่งในวันนี้ทางด้านพนักงานสอบสวนชุดคลี่คลายคดีดังกล่าวก็ได้มีการลงพื้นที่สอบปากคำพยานเพิ่มเติมใน จ.กาญจนบุรี จึงได้ถือโอกาสนำหมายเรียกดังกล่าวไปให้แจ้งให้นายแผนรับทราบ
พล.ต.ต.ไมตรี กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่นายแผนไปร้องเรียนตามหน่วยงานต่างๆนั้นก็เป็นสิทธิ์ของเจ้าตัว ซึ่งในส่วนนี้ขอยืนยันว่าทางกองปราบฯไม่เคยบังคับหรือข่มขู่ให้นายแผนเปลี่ยนคำให้การแต่อย่างใด อีกทั้งในวันที่มีการเชิญตัวนายแผนมาให้ปากคำที่สถานีตำรวจทางหลวง 6 กก. 2 บก.ทล. อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี นั้นตนเป็นผู้สอบปากคำด้วยตนเอง ทาง พล.ต.ท.ฐิติราช ไม่ได้เป็นผู้สอบ และห้องที่ใช้สอบปากคำนั้นก็เป็นห้องวิทยุเล็กของสถานี จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 30 นายเข้าไปกดดัน แค่อยู่ในห้อง 5 คนก็แน่นห้องแล้ว จึงขยืนยันว่าไม่มีการบังคับใดๆทั้งสิ้น ซึ่งกรณีดังกล่าวที่เกิดขึ้น ตนยืนยันว่าไม่หนักใจ เพราะทุกคนตั้งใจทำหน้าที่และปฏิบัติหน้าที่ตามแบบแผนความถูกต้อง
ต่อมา นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้เข้าพบ พล.ต.ต.ไมตรี เพื่อยืนหนังสือร้องทุกข์ขอให้มีการเอาผิดกับ นายเทิดศักดิ์ เจียมกิจวัฒนา ในข้อหา นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ ,ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน จากกรณีที่มีการโพสต์วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของตำรวจกองปราบในคดีหวยอลเวง 30 ล้านบาท
นายอัจฉริยะ กล่าวว่า มาพบตำรวจกองปราบเพื่อต้องการให้เอาผิดแก่นายเทิดศักดิ์ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาทางคดีของครูปรีชา จากกรณีที่ได้มีการโพสต์ข้อความใส่ร้ายอันเป็นเท็จแก่ตำรวจกองปราบ ที่ทำคดีหวยอลเวง โดยเนื้อหาข้อความที่นายเทิดศักดิ์โพสต์ในเฟซบุ๊คนั้นมีใจความว่า ตลอดช่วงเวลาที่ หรือครูปรีชา และนางรัตนาพร สุภาทิพย์ หรือ เจ๊บ้าบิ่น ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวอยู่นั้นได้มีการบีบบังคับให้ทั้งคู่ยอมรับสารภาพ หากรับสารภาพโทษจะเบาลงไม่กระทบต่อตำแหน่งข้าราชการของครูปรีชา แต่ทั้งครูปรีชาและเจ๊บ้าบิ่น ก็ยังคงยืนกรานตามคำให้การเดิม ซึ่งเรื่องดังกล่าวนั้นไม่เป็นความจริง จนทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในการทำงานของตำรวจกองปราบฯ และเสียหายต่อภาพลักษณ์ขององค์กร
ด้าน พล.ต.ต.ไมตรี กล่าวว่า สำหรับคดีหวยอลเวง 30 ล้านบาท นั้นทางชุดคลี่คลายคดีของ บช.ก. ได้มีการแบ่งกลุ่มผู้เกี่ยวข้องออกเป็น 3 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกเป็นกลุ่มบุคคลที่ใกล้ชิดกับเรื่องราว คือ ครูปรีชา และเจ๊บ้าบิ่น ส่วนกลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มของพยาน ซึ่งก็ได้มีการดำเนินการไปในส่วนหนึ่ง และส่วนกลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มกองเชียร์หรือกลุ่มบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องแต่มีการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของตำรวจ ซึ่งในส่วนนี้ก็ได้มีการจัดตั้งคณะทำงานขึ้นมาคอยตรวจสอบความเคลื่อนไหวของกลุ่มบุคคลเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นการโพสต์ข้อความทางสื่อสังคมออนไลน์ การให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนต่างๆ ซึ่งทางคณะทำงานเมื่อได้รับข้อมูลแล้วก็จะมาพิจารณาว่าเป็นการกระทำที่เข้าข่ายทำให้องค์กรตำรวจเสียหายหรือไม่
พล.ต.ต.ไมตรี กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีของนายเทิดศักดิ์ ก่อนหน้านี้พอทราบข้อมูลมาบ้างแล้ว ซึ่งเรื่องราวที่นายเทิดศักดิ์กล่าวอ้างนั้นไม่เป็นความจริง จึงจำเป็นต้องมีการดำเนินการทางกฎหมาย เพื่อเป็นการปกป้องศักดิ์ศรีของหน่วยงาน ส่วนจะดำเนินการในข้อหาอะไรนั้นคงต้องพิจารณาให้แน่ชัดก่อนว่าการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดใดบ้าง ซึ่งหลังจากนี้อาจจะมอบหมายส่งตัวแทนเข้าร้องทุกข์แจ้งความดำเนินการตามกฎหมายต่อไป