ตำรวจท่องเที่ยว-191 บุกจีน รวบ 6 คนไทย 1 ไต้หวัน แก๊งคอล’อาซัง’อ้างชื่อบิ๊กตร.ลวงเหยื่อ

ตามที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. จัดตั้งศูนย์ป้องกันและปรามปรามการฉ้อโกงประชาชนผ่านระบบโทรศัพท์และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศก.ฉปทน.ตร.) โดยมอบหมายให้ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบช.ทท. เป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการประจำศูนย์ ได้สืบสวนปราบปรามจับกุมมาอย่างต่อเนื่อง และได้ติดตามสืบสวนจนทราบว่ามีเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ตั้งอยู่ที่มณฑลฝูเจี้ยน สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยเครือข่ายนี้ยังคอยหลอกลวงประชาชนคนไทยอยู่ มีผู้เสียหายหลายราย จึงได้ประสานความร่วมมือผ่าน นายมงคล สินสมบูรณ์ รักษาการกงศุลใหญ่ ณ เมืองเซี้ยะเหมิน มายังกองบัญชาการตำรวจมณฑลฝูเจี้ยน สาธารณรัฐประชาชนจีน

เมื่อวันที่ 27 มีนาคม พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ พร้อม พ.ต.อ.อาชยน ไกรทอง รอง ผบก.ทท.1 บช.ทท. พ.ต.อ.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รอง ผบก.ทท.2 บช.ทท. พ.ต.อ.นิธิธร จินตกานนท์ รอง ผบก.สปพ.บช.น. พ.ต.อ.สถิตย์ พรหมอุทัย รอง ผบก.สส.ภ.2 และว่าที่ พ.ต.ต.นที คุ้มล้วนล้อม สว.งานสายตรวจ 2 กก.1 บก.จร.บช.น.ร่วมประชุมหารือ ณ กองบัญชาการสืบสวนมณฑลฝูเจี้ยน โดยมีนาย เฉิน จ้ง รองผู้บัญชาการสืบสวนมณฑลฝูเจี้ยน และนายเสี้ยว จิ้น ฉาย ผู้บังคับการสืบสวนเมืองจางโจว ให้การต้อนรับ ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนข้อมูล หลังสืบทราบว่าได้มีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตั้งอยู่ที่เมืองจางโจว มณฑลฝูเจี้ยน สาธารณรัฐประชาชนจีน

ต่อมาเวลาประมาณ 14.00 น. ภายใต้การประสานงานความร่วมมือของตำรวจไทยและกองบังคับการสืบสวนเมืองจางโจว มณฑลฝูเจี้ยน สาธารณรัฐประชาชนจีน บุกเข้าตรวจค้นภายในคอนโดหรู หลงฉวนฮวาถิง เมืองจางโจว มณฑลฝูเจี้ยน ชั้น 17 ห้อง 1703-1704 หลังจากตำรวจไทยได้มอบข้อมูลสถานที่ตั้งศูนย์สั่งการคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าว

จากการเข้าตรวจค้นภายในบ้านดังกล่าว พบอุปกรณ์ทั้งโทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ และเครื่องแปลงสัญญาณโทรศัพท์ พร้อมทั้งบัญชีรายชื่อเหยื่อคอลเซ็นเตอร์ ที่ยังอยู่ระหว่างการสื่อสารเพื่อรอโอนเงิน นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังพบโพยรายชื่อเหยื่อและบทพูดแสดงตัว “ร.ต.ท.จำรัส ทองอ่อน และ ร.ต.ท.สมภพ กองสมบัตร เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบัญชาการภาค 4” รายชื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐระดับสูงรวมถึงบทพูดคุยระหว่างแก๊งคอลเซ็นเตอร์กับเหยื่อในแต่ละสายงานนอกจากนี้ยังพบคนไทย ทำหน้าที่เป็นพนักงานคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเต็มใจมาทำภายในบ้านหลังดังกล่าว 6 คน และชาวไต้หวัน ซึ่งเป็นหัวหน้าผู้ควบคุมอีก 1 คน รวมทั้งหมด 7 คน

Advertisement

พล.ต.ต.สุรเชษฐ์กล่าวว่า เครือข่ายคอลเซ็นเตอร์นี้ย้ายถิ่นฐานมาจากประเทศอื่น หลังจาก ศก.ฉปทน.ตร.บุกเข้าจับกุมเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ประเทศเพื่อนบ้านของไทยอย่างเข้มข้น จึงทำให้อาซังหัวหน้าคอลเซ็นเตอร์นี้ย้ายมาเปิดที่ เมืองจางโจว มณฑลฝูเจี้ยน สาธารณรัฐประชาชนจีนแทน ทำมาประมาณ 1 เดือน เงินหมุนเวียนกว่า 1 ล้านบาท โดยประมาณ เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2561 แก๊งดังกล่าวนี้เพิ่งหลอกหญิงไทย จำนวน 1 ราย ได้เงินไปกว่า 150,000 บาท ในพื้นที่ สน.ราษฎร์บูรณะ

“การทำงานของแก๊งนี้มีลักษณะเหมือนกับกลุ่มแก๊งอื่นโดยมีพนักงานคอลเซ็นเตอร์สายที่ 1 โทรศัพท์หาเหยื่ออ้างว่ามีพัสดุส่งทางไปรษณีย์ ภายในพัสดุนี้มียาเสพติดและมีชื่อเหยื่อเกี่ยวข้อง และจะพยายามพูดจนเหยื่อหลงเชื่อ จากนั้น พนักงานคอลเซ็นเตอร์สายที่ 2 ก็จะอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจตามบทสนทนาของตน ออกอุบายให้โอนเงินมายังบัญชีธนาคารที่เตรียมไว้ และจะมีชุดกดเงินนำบัตรเอทีเอ็มของธนาคารที่เหยื่อโอนเข้ามา ไปกดเงินตามตู้เอทีเอ็ม แล้วฝากเงินในบัญชีธนาคารนำส่งหัวหน้าแก๊งเพื่อแบ่งเงินตามเปอร์เซ็นต์ที่ได้ตกลงกันไว้ภายในกลุ่มแก๊ง” รอง ผบช.ทท.กล่าว

พล.ต.ต.สุรเชษฐ์กล่าวอีกว่า จุดที่ตั้งของแก๊งคอลเซ็นเตอร์แห่งนี้ ถือเป็นสุดยอดทำเลที่มีความพร้อมทั้งเรื่องของระบบอินเตอร์เน็ต ที่เป็นระบบใยแก้วนำแสง ทั้งยังเป็นแหล่งอุตสาหกรรมที่มีชาวไต้หวันมาลงทุนทำธุรกิจในพื้นที่จำนวนมากจึงไม่เป็นเป้าสังเกต อีกทั้งยังเป็นจุดที่มีพื้นที่เชื่อมต่อแหล่งคอลเซ็นเตอร์ในไต้หวัน ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และกัมพูชา จึงง่ายต่อการเชื่อมต่อข้อมูลหากัน และนี่เป็นการทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ครั้งที่ 4 หลังตำรวจท่องเที่ยวจับมือกับตำรวจมาเลเซียและกัมพูชา ทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในนามเฉิน หยวนไข่ อาซื่อ อาหวัง และนายฉีเกอ มาได้ก่อนหน้านี้ เพียง 2 เดือน

Advertisement

พล.ต.ต.สุรเชษฐ์กล่าวว่า ความสำเร็จครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากตนพร้อมคณะทำงานปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เข้าหารือกับรองผู้บัญชาการสืบสวนมณฑลฝูเจี้ยน เพื่อประสานข้อมูลที่ตำรวจไทยได้แกะรอยข้อมูลของแก๊งดังกล่าวนี้มาโดยตลอด และการทำงานในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบัญชาการตำรวจมณฑลฝูเจี้ยน สาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นอย่างดีจนทำให้เราสามารถขยายผลจนจับกุมผู้ต้องหาได้ยกแก๊ง และจะประสานกับเจ้าหน้าที่เพื่อขอขยายผลจับกุมผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องอีกและขอส่งตัวคนไทยทั้งหมดกลับประเทศไทยเพื่อดำเนินคดีต่อไปถือเป็นการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ใกล้มาถึงจุดจบแล้ว เหลือกลุ่มที่เป็นเครือข่ายอีกไม่กี่กลุ่มซึ่งตำรวจมีข้อมูลอยู่แล้ว ทั้งนี้จากผลการปฏิบัติที่ผ่านมาตำรวจได้ออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทั้งสิ้น 427 ราย จับกุมไปแล้ว 244 ราย คงเหลือเป้าหมายอีกเพียง 89 หมายจับ และรอส่งตัวกลับประเทศอีก 67 ราย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image