เปิดคลิป ‘พุทธะอิสระ’ ที่มา ‘อั้งยี่ซ่องโจร’ จับตร.ปิดตา-ซ้อมกลางม็อบ

หลังจากที่ศาลอาญามีคำสั่งยกคำร้องขอปล่อยชั่วคราวนายสุวิทย์ ทองประเสริฐ อายุ 59 ปี หรืออดีตพระพุทธะอิสระ อดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จังหวัดนครปฐม และอดีตแกนนำ กปปส. เวทีแจ้งวัฒนะ ผู้ต้องหาคดีอั้งยี่ซ่องโจร ร่วมทำร้ายร่างกายตำรวจสันติบาล 2 นายบาดเจ็บและบาดเจ็บสาหัส และคดีปลอมพระปรมาภิไธย และใช้พระปรมาภิไธยที่มีการปลอมขึ้นลงองค์พระเครื่องนาคปรกอุดปรอท

วันที่ 25 พฤษภาคม 2561 นายกฤช กระแสร์ทิพย์ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เปิดเผยกับมติชนออนไลน์ถึงการควบคุมตัวนายสุวิทย์ ทองประเสริฐ อายุ 59 ปี หรืออดีตพระพุทธะอิสระ อดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จังหวัดนครปฐม ว่า หลังจากรับตัวอดีตพระพุทธะอิสระมาคุมขังยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เมื่อช่วงค่ำวานนี้ (24 พ.ค.) เจ้าหน้าที่ได้ตรวจร่างกายตามระเบียบขั้นตอนปฏิบัติของเรือนจำ พบว่าที่ตาด้านขวามองไม่ชัด แพทย์นัดตรวจสัปดาห์หน้าแต่มาถูกจับกุมก่อน นอกจากนี้ยังพบว่ามีอาการเกี่ยวกับหมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาทซึ่งมียาประจำตัว อาการอย่างอื่นปกติไม่มีปัญหา เมื่อวานช่วงเย็นเจ้าหน้าที่ได้นำเครื่องดื่มโอวัลตินไปให้ดื่ม ซึ่งนายสุวิทย์ก็กินตามปกติแต่ค่อนข้างหิว เนื่องจากเมื่อวานไม่ค่อยได้กินอาหาร สำหรับสภาพจิตใจมีความวิตกกังวลบ้าง อยู่ระหว่างปรับตัว ไม่ได้ร้องขออะไรเป็นพิเศษ

อย่างไรก็ตาม สำหรับคำร้องฝากขังคดีอั้งยี่ซ่องโจร ระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 10 ก.พ. 2557 ร.ต.ต.สมคิด เชยกมล และ ด.ต.วชิรพงศ์ อุ่นนวลบุรพงศ์ และ ร.ต.ต.สงวน คมขาว ผู้กล่าวหาที่ 1-3 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาลประจำ จ.นนทบุรี ได้รับคำสั่งให้สืบสวนหาข่าวม็อบชาวนาที่หน้ากระทรวงพาณิชย์ จ.นนทบุรี โดยทั้งหมดแต่งกายนอกเครื่องแบบ ซึ่งม็อบชาวนาได้เดินจากหน้ากระทรวงพาณิชย์เพื่อยื่นหนังสือถึงอัยการสูงสุดที่ศูนย์ราชการ ถ.แจ้งวัฒนะ เพื่อดำเนินคดีโครงการจำนำข้าว โดยผู้กล่าวหาทั้งสามก็ได้เดินทางมากับม็อบชาวนาด้วย ขณะนั้น “พระสุวิทย์” ผู้ต้องหากับพวกได้ยึดพื้นที่ชุมนุมบริเวณดังกล่าวอยู่แล้ว

Advertisement

แล้วเมื่อยื่นหนังสือเสร็จ ผู้กล่าวหาได้เดินทางกลับมาที่ลานจอดรถ ก็มีกลุ่มการ์ดของผู้ต้องหา 3-4 คนเดินเข้ามาขอดูโทรศัพท์ของผู้กล่าวหาที่ 2 โดยทราบว่าเป็นเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบ แล้วจึงร่วมกันทำร้ายร่างกายจับมัดมือไพล่หลัง ใช้ผ้าปิดตา จากนั้นกลุ่มการ์ดวิ่งไปหาผู้กล่าวหาที่ 1 แล้วร่วมกันทำร้ายเช่นเดียวกัน ส่วนผู้กล่าวหาที่ 3 หลบหนีไปได้ จากนั้นกลุ่มการ์ดได้ค้นตัวผู้กล่าวหาที่ 1-2 แล้วเอาโทรศัพท์มือถือ, นาฬิกา, สร้อยคอพร้อมพระไป และพาทั้งสองไปข้างเวที กปปส. ถนนแจ้งวัฒนะ บังคับขืนใจให้ตอบคำถาม กับบอกรหัสปลดล็อกหน้าจอโทรศัพท์ และทำร้ายด้วยการเตะ ต่อยที่ใบหน้า, ศีรษะ, ลำตัว ก่อนใช้ถุงคลุมศีรษะแล้วรัดปากถุงกับลำคอเพื่อให้ขาดอากาศหายใจ

กระทั่งวันเดียวกัน (10 ก.พ. 57) ผู้บังคับบัญชาของผู้กล่าวหาได้แจ้งให้ ตำรวจ สน.ทุ่งสองห้อง ติดต่อกับ “พระสุวิทย์” ผู้ต้องหาให้ปล่อยตัว ซึ่งผู้ต้องหาให้ตำรวจไปพบที่บ้านทรงไทย ตรงข้ามกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) โดยให้หัวหน้าการ์ดกลุ่มฉลามขาว การ์ดประจำตัวผู้ต้องหามารอรับที่หน้าบริษัท CAT

เมื่อไปถึงก็พาไปเต็นท์หลังเวทีปราศรัย อยู่ห่างจากบ้านทรงไทยประมาณ 100 เมตร โดยผู้ต้องหาใช้วิทยุสื่อสารติดต่อกับบุคคล ซึ่งมีการสอบถามว่าตำรวจสันติบาล 2 คนยังอยู่หรือไม่ แล้วบอกว่าสารวัตรสืบประสานขอรับตัวกลับ โดยภายหลังผู้ต้องหาได้หันมาบอกกับตำรวจว่าปล่อยให้กลับอยู่แล้ว แต่ให้ผู้บังคับบัญชาของตำรวจทั้งสองมารับเอง ซึ่งระหว่างนั้น 3-4 ชั่วโมงกลุ่มการ์ดได้เปลี่ยนกันซักถามและทำร้ายร่างกายผู้กล่าวหา 2 คน ขณะที่กลุ่มการ์ดได้ใช้ผ้าเย็นเช็ดใบหน้าและลำตัวพร้อมทั้งทาแป้งเพื่อลบรอยบาดแผล แล้วให้ผู้กล่าวหาที่ 1 กล่าวคำสาบานว่าจะไม่เอาผิดกลุ่มการ์ด กปปส. ก่อนจะพาผู้กล่าวหาที่ 1-2 ไปพบผู้ต้องหา โดยให้นั่งลงกับพื้นซึ่งได้แก้มัดที่มือออกแล้วแต่ยังให้ปิดตาไว้ พร้อมกับกำชับว่าอย่าวิ่งหนี ถ้าหนีจะโดนลูกปืน หลังจากนั้นผู้ถูกกล่าวหาได้ซักถามผู้กล่าวหาทั้งสองต่อหน้าสื่อมวลชนประมาณ 30 นาที ซึ่งมีการเผยแพร่ทั้งภาพนิ่ง-วิดีโอลงยูทูบกับเว็บไซต์ข่าวหลายสำนัก

Advertisement

ต่อมา เวลา 17.00 น. วันเดียวกัน ผู้บังคับบัญชาของผู้กล่าวหาได้โทรศัพท์คุยกับผู้ต้องหาเพื่อขอรับตัวกลับ กระทั่งเวลา 18.30 น. ผู้ต้องหาจึงปล่อยตัวทั้งสอง ภายหลังผู้กล่าวหาทั้งสองถูกส่งตัวไปรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ

การกระทำของกลุ่มการ์ดกับพวกที่ยังไม่ทราบว่าเป็นใครอีก 7 คน ซึ่งปกปิดวิธีดำเนินการ แต่งกายชุดดำอำพรางใบหน้า ได้กระทำตามความมุ่งหมายของผู้ต้องหา โดยทำร้ายผู้กล่าวหาที่ 1 มีแผลฟกช้ำที่ใบหน้าและกลางอก, บาดแผลฉีกขาดริมฝีปาก, เยื่อแก้วหูฉีกขาดทั้ง 2 ข้าง, กระดูกซี่โครงขวาด้านหลังหัก และตับฉีกขาด ใช้เวลารักษานาน 6 สัปดาห์ ส่วนผู้กล่าวหาที่ 2 ได้รับบาดเจ็บแผลถลอกหน้าผากขวา 3 X 4 ซม. , แผลฟกช้ำตามร่างกายหลายแห่ง และโหนกแก้มซ้าย คางซ้าย ฟันซ้ายล่างหักบิ่น และฟกช้ำกลางอก ต้นแขนขวา การกระทำของผู้ต้องหากับพวกที่ทำให้ผู้กล่าวหาทั้งสองถูกประทุษร้ายต่อทรัพย์อีกหลายรายการ รวมมูลค่า 60,900 บาท เป็นความผิด เหตุเกิดที่แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม.

ซึ่งพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานแล้วยื่นคำร้องขอศาลอาญาออกหมายจับเมื่อวันที่ 23 พ.ค. 2561 โดยศาลได้ออกหมายจับผู้ต้องหา เลขที่ 1115/2561 ลงวันที่ 23 พ.ค. 2561 กระทั่งวันที่ 24 พ.ค. พนักงานสอบสวนได้รับผู้ต้องหาตามหมายจับไว้ พร้อมแจ้งข้อหาฐานใช้ผู้อื่นให้ร่วมกันทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ หรือเพราะเหตุที่จะกระทำตามหน้าที่ จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายและจิตใจ อันทำให้ได้รับอันตรายสาหัส, เป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังให้เจ้าพนักงานซึ่งกระทำตามหน้าที่ปราศจากเสรีภาพในร่างกายและเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส, เป็นผู้ใช้ผู้อื่นร่วมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ข่มขืนใจให้ผู้อื่นกระทำการใด หรือจำยอม โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สิน โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น โดยอ้างอำนาจอั้งยี่หรือซ่องโจร, เป็นผู้อื่นให้ปล้นทรัพย์ ให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส และเป็นหัวหน้าผู้จัดการหรือผู้มีตำแหน่งหน้าที่ในอั้งยี่หรือซ่องโจร ซึ่งได้กระทำความผิดตามความมุ่งหมายของอั้งยี่หรือซ่องโจร อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 296, 298, 310 วรรคสอง, 309 วรรคสอง และวรรคสาม, 339 วรรคสอง, 340 วรรคแรก และวรรคสาม, 213 ประกอบ ม. 84 ในชั้นสอบสวนผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา

คลิปจาก Buddha Isara

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image