สอบหนุ่มเขมร 6 ชม.พลิ้วปัดโพสต์ข่าวใส่ร้าย”บิ๊กตู่”ไล่เติมน้ำแทนน้ำมัน ซัดคนอื่นทำเรียกเรตติ้ง

จากกรณีที่มีผู้ทำเว็บไซต์ข่าวปลอมชื่อ “Ratstas.com” พาดหัวข่าวว่า “บิ๊กตู่” ฟิวขาด ด่ากราด ไล่ให้เติม “น้ำเปล่า” แทนดีเซล อย่าโง่ วอนประชาชนอย่าเรื่องมาก” อันเป็นการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โจมตีรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา และใช้ประเทศกัมพูชาเป็นฐานที่มั่นนั้น จนพล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบช.ทท. ได้นำทีมติดตามตัว นายรัตนะ เฮง ชาวกัมพูชา ผู้ต้องหมายจับศาลอาญา ในความผิดฐาน “นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน” กลับมาให้กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับเทคโนโลยี หรือ บก.ปอท.ดำเนินคดีที่ประเทศไทยนั้น

เมื่อวันที่ 1 มิถุนาบน พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผกก.3 บก.ปอท. เปิดเผยว่า หลังจากที่นำตัวนายรัตนะ กลับมาถึงประเทศไทย ได้นำตัวมาสอบสวนที่บก.ปอท. โดยใช้เวลาสอบสวนนานกว่า 6 ชั่วโมง ซึ่งทางผู้ต้องหาให้การว่า นายหลุยส์ เพื่อนร่วมชาติ ได้ขอเลขบัตรเครดิตของตนเอง เพื่อนำไปเปิดเว็บไซต์ข่าว โดยนายหลุยส์ ให้เหตุผลว่า หากมีคนเข้ามาดู และแชร์ในเพจเยอะ ก็จะมีค่าโฆษณาเข้ามา ซึ่งทางนายหลุยส์ ก็นำข่าวของนายกฯ มาโพสต์ ทำให้มีคนเข้าไปดู และแชร์ข่าวเป็นจำนวนมาก ซึ่งนายรัตนะ เองได้ปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่อง ดังกล่าวโดยอ้างว่าพูดและอ่านหนังสือภาษาไทยไม่ได้ แต่ได้โยนความผิดให้นายหลุยส์ ว่าเป็นผู้นำข้อมูลดังกล่าวไปโพสต์ เนื่องจากใช้ภาษาไทยได้ค่อนข้างดี

สำหรับการติดตามตัวนายหลุยส์ กลับมาดำเนินคดีนั้น ทางนายรัตนะ ยินดีที่จะพาไปบ้านของนายหลุยส์ ที่กรุงพนมเปญ อย่างไรก็ตาม ในการที่จะนำตัวนายหลุยส์ กลับมาดำเนินคดี จะต้องประสานขอความร่วมมือจากทางการของกัมพูชาก่อน

ทั้งนี้ตำรวจได้แจ้งข้อหา “นำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่คอมพิวเตอร์” มาตรา14(2) และมาตรา17 ของพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีโทษจำคุก 5 ปี ปรับเป็นเงิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เนื่องจากพยานหลักฐาน ทั้งอีเมล์ และข้อมูลการจดทะเบียนเปิดเว็บไซต์ เป็นชื่อของนายรัตนะ ทั้งหมด ซึ่งภายหลังจากสอบปากคำเสร็จ นายรัตนะ ก็ได้ให้ทางเจ้าหน้าที่สถานทูตกัมพูชาขอประกันตัวในชั้นสอบสวน โดยมีเงื่อนไขให้นำมาพบพนักงานสอบสวน เพื่อนำตัวส่งฟ้องศาล

Advertisement

ส่วนคนไทยที่เข้าไปแชร์ข้อมูลดังกล่าวจำนวน 5-6 คน หลังจากถูกหมายเรียกก็ได้เข้ามาให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนทันที เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ว่าหลังจากพบว่าเป็นข่าวก็มีการส่งต่อให้เพื่อนรู้ทันที โดยไม่มีการไตร่ตรองก่อนนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งในส่วนนี้ก็ต้องดำเนินคดี และว่ากันในชั้นศาลตามพยานหลักฐานต่อไป

นอกจากนี้ ทาง พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ได้ฝากเตือนพี่น้องประชาชนที่ใช้สื่อโซเชียล เมื่อได้ข้อมูล หรือข่าวที่สามารถทำให้ผู้อื่นได้รับผลกระทบ หรือเสียหายมานั้น ขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง ก่อนที่จะนำไปโพสต์หรือส่งต่อผู้อื่น หากไม่มีการตรวจสอบ อาจจะทำให้ถูกดำเนินคดีได้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image