ถ้าไม่ได้เชียร์ฝ่ายใด ขอให้ลองทำใจให้นิ่งๆ แล้วนึกดูสิว่า แค่ “คนหนึ่ง” ให้สัมภาษณ์ถึงการเมืองในประเทศที่ตัวเองเคยอยู่และเคยใหญ่ แค่ “คำคน” นั้นอาจส่งผลถึงขั้น “ยุบพรรคการเมือง” พรรคหนึ่งกันเลยเชียวหรือ
เปรียบกับพฤติการณ์ ที่ “คนในรัฐบาล” ตั้งพรรคการเมืองขึ้นมา แล้วยังนั่งอยู่ในคณะรัฐบาล พร้อมสรรพทั้งการพูดพล่ามและขับเคลื่อนกระทำการ โปรยหว่านเม็ดเงินงบประมาณแผ่นดินซึ่งมาจากภาษีของประชาชน ได้คะแนนนิยมไปในตัวโดยไม่ต้องใช้คำว่า รณรงค์หาเสียง
ได้เปรียบพรรคการเมืองอื่นๆ นักการเมืองอื่นๆ ชัดๆ ไม่เช่นนั้นแล้ว “พรรคการเมือง” ที่ถือกำเนิดขึ้นในคณะรัฐบาล ซึ่งเปรียบไปก็เหมือนเด็กเมื่อวานซืน จะกล้าประกาศหรือว่า “จะกวาด 350 ที่นั่ง”
เอาความมั่นใจมาจากไหน ถึงได้อหังการกันขนาดนั้น
ใช่หรือไม่ว่า “ลูกพี่” ต้องใหญ่ และ “แผนประทุษกรรม” ทางการเมืองก็ต้อง “แน่” !
ขั้นแรก “กติกา” (รัฐธรรมนูญฉบับนี้ดีไซน์มาเพื่อพวกเรา)
ขั้นที่ 2 ปิดตา ปิดปาก ใช้กฎหมายใช้คำสั่งมัดมือมัดเท้าอย่าให้ได้เคลื่อนไหวสะดวก
ขั้นที่ 3 “ใช้พลังดูด”
เพียงเพื่อประกาศชัย “เสียงข้างมาก” ในสภา จงอย่าได้คำนึงถึงอุดมการณ์
และขั้นที่ 4 ใช้ “วิเศษนิยม” เป็นทีเด็ด เคล็ดลับก่อนถึง “วันกาบัตร”
โฆษกรัฐบาลเพิ่งจะออกมาทวงบุญคุณกับผู้มีรายได้น้อยทั้งหลายว่า นับตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2560-22 พฤศจิกายน 2561 รัฐบาล (คสช.) สนับสนุนช่วยเหลือไปแล้ว 49,879 ล้านบาท
อ่านว่า สี่หมื่น-เก้าพัน-แปดร้อย-เจ็ดสิบเก้า-ล้านบาท
และปีใหม่นี้ รัฐบาลเตรียมอัดฉีดเงินช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยอีกด้วยวงเงิน 5.87 หมื่นล้านบาท
อ่านว่า ห้าหมื่น-แปดพัน-เจ็ดร้อย-ล้านบาท
แค่ 1 ปี กับ 2 เดือน รัฐบาลนี้โปรยหว่านเงินลงไปแล้วกว่า 1 แสนล้านบาท ให้กับ “กลุ่มเป้าหมาย” เกือบ 15 ล้านคน
ห้ามใครนำไปเปรียบเทียบและเรียก “ประชานิยม” อย่างเด็ดขาด เพราะมีนิยามจาก วิษณุ เครืองาม มาแล้วว่า “วิเศษนิยม”
พฤติการณ์ทั้งหมด เกินกว่าคำว่า หาเสียง ล่วงเลยคำว่า อิทธิพลบงการ ครอบงำ
แต่ทำไม ทุกคนทุกฝ่ายที่ว่า มีอิสระ เป็นกลาง ปราศจากการถูกครอบงำ กลับนั่งเฉย ไม่มีใครว่าอะไรสักคำ !?!!