เหตุการณ์ในวันนี้ทำให้นึกถึงการเลือกตั้งเมื่อ 2 เมษายน 2549 ที่นักการเมืองพรรคร่วมฝ่ายค้านปฏิเสธไม่ยอมลงสมัครรับเลือกตั้ง
พรรคร่วมฝ่ายค้านกล่าวหาว่า การยุบสภาไม่ถูกต้องชอบธรรม และปฏิเสธไม่ยอมลงสมัครรับเลือกตั้ง
ต่อมา “ประชาธิปัตย์” กล่าวโทษพรรคไทยรักไทย ว่าพยายามจ้างวานพรรคการเมืองขนาดเล็กลงสมัครเพื่อให้การเลือกตั้งสมบูรณ์
เลือกตั้ง 2 เมษายน 2549 พบจุดจบ ถูกเพิกถอนด้วยเหตุว่า “ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ”
ฉากต่อมาคือ คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่า กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 2 คนไปจ้างพรรคเล็กลงสมัครรับเลือกตั้ง
ถือว่า การกระทำของคน 2 คนผูกพันพรรค
ถือว่า พรรคไทยรักไทยกระทำ !
ถือเป็น การกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองประเทศด้วยวิธีการซึ่งไม่เป็นไปตามวิถีทางรัฐธรรมนูญ
ถือเป็น การกระทำที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ ขัดต่อกฎหมาย ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี ส่งผลให้การปกครองระบอบประชาธิปไตยต้องสั่นคลอน ไม่มั่นคง
พรรคไทยรักไทยถูกยุบ กรรมการบริหารทุกคนถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี
ที่ถูกวินิจฉัยนั้นคือ “พฤติการณ์” ซึ่งทำทุกอย่างเพื่อจะเป็นฝ่ายเสียงข้างมาก หรือเพื่อจะเป็นใหญ่ แม้ผู้กระทำจะมีแค่ 2 คน จึงสามารถจะตายหมู่ได้
วันนี้ เกิดกรณี นายไพบูลย์ นิติตะวัน ยื่นเรื่องถึง กกต.ขอยุบพรรคประชาชนปฏิรูปที่ตัวเองเป็นหัวหน้าพรรค เพื่อที่จะย้ายอยู่พรรคพลังประชารัฐ ซึ่ง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พปชร.ก็รับลูกในทันทีว่า “ไม่ขัดข้อง”
มีคำถามตามมาว่า ถ้า “พฤติการณ์” ยุบพรรคเล็ก แล้วไปรวมกับพรรครัฐบาล เพื่อให้ใหญ่ขึ้นนั้นไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ต่อไป “พรรคใหญ่” ก็จะดูดพรรคเล็กได้อย่างถูกกฎหมายใช่หรือไม่
พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต.จีบปากจีบคออธิบายถึงการสิ้นสุดสภาพของพรรคการเมืองมี 7 กรณี จะนำเข้าที่ประชุม กกต.โดยพลันในวันที่ 27 สิงหาคม
เจ้าแห่งสำนักเนติบริการก็ว่า การยุบพรรคตัวเองไม่ใช่เรื่องลำบาก
หรือว่า ทั้งกฎหมายแม่ กฎหมายลูก ตลอดจนหลานเหลนโหลนล้วนเป็นใจ “ดีไซน์มาเพื่อพวกเรา”
จึงจะต้องพิสูจน์กันต่อไป ใช่หรือไม่ว่า หนึ่ง เพื่อเกื้อกูลแก่ฝ่ายตนและพวกพ้องใช่ กับสอง เพื่อลิดรอน บั่นทอน ทำลายฝ่ายตรงข้าม !?!!