ก่อน “22 พ.ค.57” ชักชวนกันปิดบ้านปิดเมือง ปิดสถานราชการ กระด้างกระเดื่องกันจนถึงขั้นคิดปิดประเทศ
ฝูงชนเรียกร้องให้มี “การปฏิรูป” ก่อนเลือกตั้ง !
แม้จะมีผู้คนจำนวนหนึ่งจะเชื่อและหวังว่าจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่ก็ยังมีผู้คนอีกจำนวนมากที่ “ไม่เชื่อ” และอ่านออกว่าเป็นความเคลื่อนไหวที่มีนัยยะทางการเมืองซ่อนเร้น
ลึกลงไปในการเคลื่อนไหวของ “กปปส.” นั้นไม่ใช่แนวทางต่อสู้ทางการเมืองที่ปกติ
ไม่ปลูกฝังแนวคิด ความเชื่อให้ผู้คนรู้จักการเข้าคิว การอดทน รอคอย รักสันติวิธี
จนกระทั่งต่อมา เมื่อมีกลุ่มบุคคลคณะหนึ่งใช้กำลังรบและอาวุธสงครามของกองทัพเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลโดยอ้างว่าเพื่อยุติความขัดแย้ง มาสร้างความปรองดอง รักษาความสงบเรียบร้อย พร้อมทั้งประกาศปฏิรูปประเทศก่อนเลือกตั้ง
คำตอบจึงได้รับการเฉลย !
ถ้ากล่าวอย่างไม่ตะแบง การเปลี่ยนถ่ายอำนาจในระบอบประชาธิปไตยต้องเป็นไปโดย “สันติ”
ผิดไปจากนี้ ไม่ใช่ !
ประชาชนจะจับกลุ่มกันซ่องสุมกำลังแล้วก่อการโดยใช้อาวุธปืนเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาล เข้าล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ และเข้ายึดอำนาจจากตุลาการไม่ได้
ทุกประเทศที่ปกครองด้วยระบบประชาธิปไตยไม่อนุญาตให้ใช้ “ความรุนแรง” ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
การอดทนอดกลั้นกับความแตกต่างเป็น “วัฒนธรรม” ที่เจริญแล้ว
ความขัดแย้งถูกบริหารจัดการด้วยเหตุผล ปัญญาและกฎหมาย
ใครก็ไม่สามารถจะใช้ปืนใช้กำลังรบของกองทัพก่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้
แต่รัฐประหาร 22 พ.ค.2557 ก็ยังได้เกิดขึ้นกับสังคมไทย
หนักไปกว่านั้น คณะบุคคลนั้นนั่งแช่อยู่ในอำนาจนานถึง 5 ปี พร้อมกับเขียนกติกาการเมืองการปกครองใหม่ ที่ใครเถียงใครวิจารณ์ไม่ได้
ที่หาญกล้าท้าทายก็ถูก “อำนาจพิเศษ” กำราบปราบปราม บ้างเจ็บหนักเกือบพิการ บ้างต้องไปนั่งไปนอนสิ้นอิสรภาพอยู่ในเรือนจำ
เมื่อล่วงผ่านไป 5 ปี มีการเลือกตั้ง ผลจากปฏิรูปการเมืองชนิดพิสดารทำให้ได้ “หัวหน้าคณะรัฐประหาร” มาเป็นนายกรัฐมนตรี
ประเทศไม่มีอะไรเปลี่ยนไป !
ใครมีทรรศนะทางการเมืองที่แตกต่างยังถูกตีความว่าเป็นภัย ก่อความวุ่นวาย
ยังมีการแบ่งฝ่ายชัดเจน ถ้าไม่ใช่ฝ่ายเราก็จุดไฟความเกลียดชังเผาทำลายอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง
ไม่มีความอิสระที่ปลอดภัยในสังคมไทย !?!!