“ประชาธิปัตย์” อาจไม่โตวูบวาบแต่ก็เป็นพรรคการเมืองเก่าแก่ที่สุด การดำเนินงานมาย่อมมีขึ้นมีลงเป็นธรรมดา
ผู้นำพรรค แกนนำ สมาชิกรุ่นแล้วรุ่นเล่าสืบสาน ที่อยู่ยงคงกระพันจวบจนเลิกราหรือตายไปก็มี ที่แตกหน่อก่อเกิดใหม่ก็มี
“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เป็นอดีตหัวหน้าพรรคที่เคยทำหน้าที่ในสภาวะแวดล้อมหนึ่ง ซึ่งมีทั้งด้านที่เป็นคุณและเป็นโทษแก่การเมืองโดยรวมและตัวเอง
อภิสิทธิ์พ้นไปจากเก้าอี้หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในสถานการณ์ที่พรรคพ่ายแพ้เลือกตั้งอย่างมีนัยยะและภายใน “แตก” เป็น 2 ฝ่าย
ฝั่งหนึ่ง ยินดีสนับสนุน “คนนอก” ซึ่งก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตหัวหน้าคณะรัฐประหาร (คสช.) เป็นนายกรัฐมนตรีภายใต้เสื้อคลุมประชาธิปไตย
ฝั่งหนึ่ง ไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนถ่ายอำนาจจาก “คสช.” สู่รัฐบาลหลังเลือกตั้งที่อาศัย 250 ส.ว.ซึ่ง “หัวหน้า คสช.” เป็นผู้แต่งตั้งขึ้นมาสนับสนุนตนเอง
การถอยออกจากบัลลังก์หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ของ “อภิสิทธิ์” ในอดีตคล้ายฉากดราม่าในละครโทรทัศน์
วันนี้พอมี “กระแส” สนับสนุนให้อภิสิทธิ์นั่งเก้าอี้ ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญศึกษาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญเท่านั้น ก็เกิดปฏิบัติการจระเข้ขวางคลอง
บางคนในซีกฝ่ายค้านยังจำได้ว่า อภิสิทธิ์ ไม่ใช่นักการเมืองที่มีจุดยืนโดดเด่นในการปกปักษ์รักษาระบอบรัฐสภา ทั้งๆ ที่รู้ว่าคำตอบสุดท้ายคือ รัฐประหาร แต่อภิสิทธิ์ก็ยังกระโจนลงสู่ท้องถนนเพียงเพื่อโค่นคู่แข่งทางการเมือง
ที่สำคัญกว่าการขวางลำของฝ่ายค้านบางคนก็คือ วีระกร คำประกอบ แห่งพลังประชารัฐ
“อภิสิทธิ์” เป็นใคร มาจากไหนถึงจะมานั่งเก้าอี้ประธาน กมธ.
ในความหมายของนายวีระกร บทบาทของอภิสิทธิ์น่าจะจบไปพร้อมๆ กับการประกาศขวาง พล.อ.ประยุทธ์กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี
วีระกรยืนยันว่าตามมารยาทแล้วเก้าอี้ประธาน กมธ.นี้ต้องเป็นของพรรคใหญ่ที่สุดฝั่งรัฐบาล คือ พลังประชารัฐ
เป็นไปไม่ได้ที่จะมอบให้พรรคเล็กอย่าง “ประชาธิปัตย์”
พวกที่สนับสนุนให้อภิสิทธิ์นั่งเก้าอี้ประธาน กมธ.คงคิดช่วยลบภาพเก่าๆ พร้อมกับฟื้นฟูบทบาทให้กับ “อภิสิทธิ์”
แต่ด้วยเขี้ยวคมทางการเมือง “วีระกร” จึงตอกย้ำความพ่ายแพ้ให้แก่ “อภิสิทธิ์” และ “ประชาธิปัตย์” ว่า เป็นแค่พรรคที่มีเสียงน้อย ไม่เหมาะกับเก้าอี้ประธาน กมธ.ศึกษาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ !?!!
