“พิธากอรัส” นักคณิตศาสตร์ผู้ปราดเปรื่องน่าจะเป็นคนแรกที่นำเสนอทฤษฎีปรมาณูว่า เมื่อปรมาณูรวมตัวกันเหมือนการเลียนแบบจำนวนเลข “สรรพสิ่ง” ในโลกจึงเกิดขึ้น
ถัดมาไม่นานนักก็มี “เฮราคลีตุส” นักปราชญ์ชาวกรีกผู้มาก่อนกาล นำเสนอ “ทฤษฎีอนิจจัง” ตั้งแต่ยุคต้นพุทธกาล เพียงแต่ทางซีกโลกตะวันตกเรียกสิ่งนั้นว่า “เชนจ์”(Change)
เชนจ์ของ “เฮราคลีตุส” คือคุณลักษณะที่แท้จริงของสรรพสิ่ง ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป โดยที่ไม่มีใครต้านทานหรือหยุดยั้งความเปลี่ยนแปลงได้
จึงไม่มีสิ่งใดดำรงอยู่ตลอดไป
ที่ต้องเท้าความยืดยาวก็เพื่อจะแสดงว่า การมีความรู้อย่างมีสตินั้น จะทำให้คนเราไม่หลงใหลได้ปลื้มไปกับคำสอพลอ
ในทางตรงกันข้าม “ความไม่รู้” หรือ “การไม่เปิดสมองรับรู้” ก็เปรียบเสมือนคนที่ไม่เก็บหอมรอมริบ ปล่อยให้คลังสมองมีแต่ความว่างเปล่า เมื่อถูกใครชักชวนให้เชื่ออย่างไรก็จะคล้อยตามไปเสียง่ายๆ ซึ่งจะเป็นอันตรายมาก ถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นกับ “ผู้นำ” ที่อยู่ในระบบอำนาจนิยม
ความมีอำนาจของ “ผู้นำโดยตำแหน่ง” มีโอกาสทำให้ลุ่มหลงกับสิ่งที่มีและสิ่งที่เป็นอยู่ได้ง่าย
แต่ถ้าผู้นำนั้นมีพื้นฐานดี กล่าวคือ มีความรู้มีระบบความคิดที่ไม่เลอะเลือน ไม่หลงงมงายอยู่กับ “จักรราศี” ที่ชาวสุเมเรียนคิดเอาไว้เมื่อหลายพันปีก่อน “ผู้นำ” นั้นก็อาจจะรอด
ชาวสุเมเรียนเป็นผู้คิดอ่านแบ่ง “ปี” ออกเป็น 12 เดือน จากนั้นลงมือแบ่งเดือนออกเป็นสัปดาห์ แบ่งสัปดาห์ออกเป็น “วัน” ก่อนที่จะตั้งทฤษฎีว่า ดวงดาวที่โคจรอยู่บนท้องฟ้านั้นเป็น “เหตุ” แห่งความเป็นอยู่ ความเป็นไป และความเป็นความตายของมนุษย์ อันเป็นจุดกำเนิดของโหราศาสตร์สืบกันมาภายใต้ความเชื่อว่า “ทุกคนต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจการโคจรของดวงดาว”
นั่นต่างกับ Change ของ “เฮราคลีตุส” และ “อนิจจัง” ของพระพุทธเจ้าที่อธิบายความตามเหตุปัจจัยซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา
ในการบริหารกิจการบ้านเมืองนั้นขึ้นอยู่กับความรู้ ความสามารถ ความฉลาด ไม่ใช่อาศัยดวงดาวที่โคจรอยู่ทั้งในและนอกระบบจักรวาล
นับเป็นการสบประมาท “ผู้นำ” อย่างมาก ถ้ามีใครสักคนเดินเข้ามาแล้วบอกว่า คุณจะอยู่ในอำนาจยืนยาวตลอดไป จวบจนชีวิตจะหาไม่ !?!!