อํานาจกับความรู้ คนละเรื่องราวกัน ตำแหน่งกับความสามารถ ก็ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน
ที่เห็นว่ามีตำแหน่ง ไม่ได้หมายความว่าจะมีความสามารถที่เหมาะสมเสมอไป กับที่เห็นว่ามีอำนาจนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีความรู้ควบคู่ไปด้วย
ความรู้คืออำนาจ แต่อำนาจไม่ใช่ความรู้
ในสภาพแวดล้อมที่ถูกจำกัดด้วยเงื่อนไขต่างๆ หรือตามที่เรียกกันว่า โลกใบเล็กและแคบนั้นอาจชวนให้เข้าใจว่าการมี “ตำแหน่ง” หมายถึงมีความสามารถพร้อมไปด้วย หรือการมีอำนาจนั้น หมายถึงมีความถูกต้องไปด้วย ใครที่คิดที่เห็นผิดแผกแตกต่างออกไปเป็น “ความผิด” เป็นโทษ และเป็นสิ่งต้องห้าม
เรื่องความคิด-ความเชื่อแบบนี้ก็เป็นปัญหาอย่างหนึ่งในสังคม บางยุคสมัยแค่เห็นต่างกันอาจถึงขั้นถูกฆ่าหรือถูกจับขังคุก
ที่เชื่อในเรื่องอำนาจจึงเรียกว่า “อำนาจนิยม” เพียงแค่มีตำแหน่งหรือมีอำนาจเท่านั้นก็เป็นที่น่าชื่นชม ไม่ต้องตรวจสอบ ไม่ถ่วงดุล ไม่ทวงถาม การมีความเห็นต่างเป็นการก่อกวน วุ่นวาย ไม่สงบ ไม่เรียบร้อย
ส่วนที่มีความเชื่อศรัทธาในพัฒนาการของเผ่าพันธุ์มนุษย์กลับมีความเชื่อว่า “ความขัดแย้ง” หรือการเปลี่ยนไปจากเดิม คือความก้าวหน้า
“การเปลี่ยนแปลง” เกิดจาก “ความขัดแย้ง” หรือเห็นต่าง คิดต่าง ทำแตกต่างออกไป เกิดจากการใช้ “สมอง” เรียนรู้และคิดสร้างสรรค์ ตัวอย่างเช่น ถึงแม้ “เพลโต้” มหาปราชญ์แห่งโลกตะวันตกจะเคยจัดลำดับให้ “ความรู้” มีความสำคัญสูงสุด จากนั้นก็ตามด้วย “ความเชื่อ” และขั้นต่ำสุดคือ “จินตนาการ” แต่ “ไอส์ไตน์” คิดกลับหัวกลับหางอย่างสิ้นเชิงว่า “จินตนาการสำคัญกว่าความรู้”
นาทีนั้นโลกเปลี่ยนไปโดยพลันทันที
“การปฏิเสธ” ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง !
โลกที่ฝักใฝ่ถวิลหาอำนาจนิยมเป็นสวรรค์ของบรรดา “ผู้นำโดยตำแหน่ง” ซึ่งต้องการ “การควบคุม” มากกว่า “การกระจาย”
ถ้าจะกล่าวกันในด้าน “ทรัพยากร” หรือความมั่งคั่ง ในประเทศที่ระบบไม่กระจายอำนาจ ท้องถิ่นจะถูกบั่นทอนการเจริญเติบโต
ไม่มีคำว่า “เป็นธรรม” สำหรับการจัดสรรหรือแบ่งปันทรัพยากรแก่ท้องถิ่นและผู้คน
จึงมีคำถามว่า
ตั้งแต่รัฐประหาร พ.ค.2557 มาจนถึงวันนี้ ที่เคยคุยนักคุยหนาว่า “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” นั้น มีการปฏิรูปอะไรที่บ่งชี้ว่า แต่ละภาคส่วนและแต่ละท้องถิ่น ได้รับการจัดสรรปันส่วนไปและทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นกว่าเดิม !?!!