การมีเสรีทางความคิด การมีโอกาสได้ถกเถียงกันทางปัญญาถึงแม้บางทีจะน่าเวียนหัว บ้าๆ บอๆ แต่ก็ยังดีกว่าการใช้ปืนหรือใช้กำลังเข้าขู่เข็ญบังคับชิงเอา
การมีเสรีทางความคิดทำให้คนใดคนหนึ่งไม่ลุแก่อำนาจโทสะใช้อำนาจตามอำเภอใจเรียกใครต่อใครไปปรับทัศนคติที่ไม่มีทางจะเป็นไปได้นอกเสียจากการขายตัวขายหัวใจ
อย่างน้อยๆ ในพื้นที่ซึ่งพอจะมีเสรีทางความคิดนั้นการชี้วัดตัดสินก็ต้องอาศัยเสียงข้างมากจากหมู่คณะ
ทั้งยังต้องอาศัย “หลัก” บางประการในการวินิจฉัยชี้ขาด ถึงแม้ “หลัก” อะไรต่อมิอะไรตามที่ว่านั้นอาจเป็นที่พึงพอใจหรือไม่เป็นที่พอใจ ยอมรับหรือไม่ยอมรับ แต่ก็เป็นที่เข้าใจกันว่า “หลัก” ทั้งหลายล้วนเป็นเพียงสิ่งสัมพัทธ์ ไม่ใช่สิ่งสัมบูรณ์ที่แตะต้องไม่ได้
เช่นเดียวกับ “ความจริง” ทั้งหลายที่ถูกหยิบขึ้นมาอ้างอิงเพื่อใช้อธิบายความต่อผู้คน หรือต่อเหตุการณ์ก็ล้วนแต่เป็น “ความจริง” ที่เปลี่ยนแปลงได้
มาตรฐานหรือบรรทัดฐานก็เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้และไม่มีความแน่นอน
เพียงแต่ที่ผู้คนเรียกร้องต้องการคือ “มาตรฐานเดียวกัน” !
หรือถ้าลึกลงไปกว่าก็ควรเป็น มาตรฐานที่จับต้องได้ด้วยตรรกะที่ทั่วโลกยอมรับ
กรณี “ธนาธร” ก็พบมาตรฐาน
นั่นคือ ถึงแม้ว่าบริษัทที่ผลิตนิตยสารสื่อสิ่งพิมพ์ที่นายธนาธรเคยถือหุ้นจะหยุดกิจการพร้อมกับจ่ายเงินคนงาน เลิกจ้างไปแล้ว แต่ถ้าไม่ไปจดแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบตาม พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ภายใน 30 วัน ก็ถือว่ายังสามารถประกอบกิจการอีกเมื่อใดก็ได้ บุคคลผู้เกี่ยวข้องหรือถือหุ้นไม่สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งได้
“มาตรฐาน” ที่เกิดขึ้นภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้สมาชิกภาพ ส.ส.ของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ สิ้นสุดลง อาจทำให้ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลอีกหลายคนที่มีฐานะเป็น “ผู้ถูกร้อง” เช่นเดียวกับนายธนาธรมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว
แต่ที่บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญมุ่งหมายสกัดกั้นอย่างแท้จริงคือ “พฤติการณ์”
ตัวหนังสือที่บัญญัติอาจแก้ไขได้ง่าย แต่อุปนิสัยใจคอคนซับซ้อนแก้ไขยาก !
ใช่หรือไม่ว่า การใช้ “สื่อ” และสถานะความเป็นสื่อมวลชนเกื้อกูลตัวเองหรือให้ร้ายผู้อื่น คือสภาวะที่ “อนาคตใหม่” กับ “พรรคภูมิใจไทย” กำลังประสบ !?!!