แต่ก่อนนี้ไทยมี 2 พรรคการเมืองเป็นตัวแทนอุดมการณ์และนโยบาย ทั้งสองแข่งขันขับเคี่ยวกันคล้าย “เดโมแครต” กับ “รีพับลิกัน” ในสหรัฐอเมริกา จนหลายคนพากันวิเคราะห์ว่า พัฒนาการการเมืองไทยกำลังก้าวไปสู่ระบบ 2 พรรคที่เข้มแข็งอย่างค่อยเป็นค่อยไป
นึกไม่ถึงว่าจะมีนักการเมืองใฝ่ต่ำหันไปสมคบคิดกันทำลายพรรคการเมืองคู่แข่งด้วยวิธีการนอกรูปแบบ มุ่งหมายบดขยี้ให้ย่อยยับชนิดที่ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด
คิดจะยืมดาบฆ่าคน “จอมดาบ” หาใช่ตัวโง่งมไม่ เรื่องอะไรจะปล่อยให้อำนาจและผลประโยชน์ตกแก่นักการเมืองที่เลี้ยงไม่เชื่อง และเชื่อไม่ได้
ระบบเสรีประชาธิปไตยคือดินอันอุดมให้เกิดมี “เสรีชน” !
ถึงอย่างไรธรรมชาติของนักการเมืองก็แตกต่างจากข้าทาสบริวารที่จะสั่งซ้ายหันขวาหัน
เพื่อไม่ให้เสียของ ผู้ก่อการแท้จริงจะต้องมีขุมพลัง สร้างฐานที่มั่นและเครือข่ายพันธมิตร
เมื่อจะต้องเลือกตั้งก็ล็อกเป้า พื้นที่ภาคใต้ !
“ประชาธิปัตย์” ที่เคยถูกนับเป็นมิตรผู้ซื่อสัตย์ กลายเป็น “คู่แข่งขัน” ทางการเมืองในสนามเลือกตั้ง
ฐานที่มั่นอันแข็งแกร่งมากว่าครึ่งศตวรรษของ “ประชาธิปัตย์” ถูกเจาะทะลวงอย่างไร้ความปรานี จึงพังพ่ายยับเยิน !
หลังเลือกตั้ง “ประชาธิปัตย์” พรรคการเมืองใหญ่อันดับ 2 ของประเทศ ลีบเล็กลง กลายเป็น “พรรคขนาดกลาง” มีจำนวน ส.ส.รั้งอันดับที่ 4 ไม่ถึงครึ่งของพรรคเกิดใหม่อย่าง “พลังประชารัฐ”
แพ้แม้กระทั่งม้านอกสายตาอย่าง “พรรคอนาคตใหม่” ที่พาเหรดเข้าสภามากว่า 80 คน
ประชาธิปัตย์ประสบกับภาวะระส่ำระสาย
หัวหน้าพรรคคนเก่าลาออก
การแย่งชิงการนำภายในพรรคเป็นไปอย่างเข้มข้น
“ประชาธิปัตย์แตกยับ” !
“แกนนำ” เริ่มตั้งแต่ สุเทพ เทือกสุบรรณ แยกตัวออกไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง พร้อมประกาศตัวอย่างเปิดเผยว่าจะเบียดเอาชนะประชาธิปัตย์ จะสนับสนุน “อดีตหัวหน้าคณะรัฐประหาร” เป็นผู้นำทางนำชีวิต และเป็นนายกรัฐมนตรี
แม้วันนี้การเลือกตั้งล่วงผ่านไปนานแล้วแต่ “ประชาธิปัตย์” ก็ยังเลือดไหลไม่หยุด
อดีตแกนนำสำคัญหลายคน ส.ส.หน้าเก่า หน้าใหม่ สมาชิกพรรคต่างทยอยโบกมือลาประชาธิปัตย์เข้าสมทบกับกลุ่มที่สืบทอดอำนาจมาจากรัฐประหาร พ.ศ.2557
บทเรียนประชาธิปัตย์คือ พลาดก้าวเดียว ล้มทั้งกระดาน
นักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยต้องศรัทธาในจิตวิญญาณ “เสรีนิยม” อย่างมั่นคง
ต้องไม่ฝักใฝ่การ “เปลี่ยนถ่ายอำนาจ” ด้วยวิธีการนอกกฎหมาย !?!!