คล้ายจะมีความหวัง แต่ไม่มี คล้ายจะปรับปรุงตัวแก้ไขพฤติกรรม แต่ไม่ใช่
เป็นภาพลวงตา !
บ่อกำเนิดพฤติกรรมทั้งหลายมาจาก “สมองสั่ง”
คนจะเปลี่ยนได้ต้องได้รับการฝึกฝน ขูดขัดดัดแปลง
การเปลี่ยนอุปนิสัยใจคอคนผู้หนึ่งเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้
ระหว่างที่พบปะประชาชนที่อาคารรื่นอรุณ เทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงปัญหาฝุ่นละอองขนาดจิ๋วไม่เกิน 2.5 ไมครอนที่กำลังเป็นภัยคุกคามคนในเมืองหลวงว่า “ปัญหาหลายอย่างเกิดจากประชาชน”
อ้าววว !
เป็นความจริงว่า ความเป็นประเทศชาตินั้นจะต้องประกอบไปด้วย แผ่นดิน เขตแดน เอกราช และผู้คน
ไม่มีประชาชนอยู่อาศัยก็ไม่ใช่สังคม ไม่อาจเป็นประเทศชาติ
ปัญหาทั้งหลายเกิดจากมีคนอยู่อาศัยร่วมกัน ยิ่งมากยิ่งยุ่ง ยิ่งมากความ ซึ่งในความหลากหลายของผู้คนแต่ละประเทศนั้นก็ต้องมีพวกหนึ่งทำหน้าที่บริหารหรือปกครองประเทศ
การเป็น “ผู้ปกครอง” หรือผู้นำต้องมีทัศนคติที่ดีและมีวิสัยทัศน์ ถ้าเจอมลพิษจากฝุ่นพีเอ็ม 2.5 แล้วได้แต่บอกว่า “ใครรู้ว่าเสี่ยงหรือไม่ปลอดภัยก็ให้ไปปาดจมูก ใส่หน้ากาก”
เช่นนี้แล้ว จะมีผู้บริหารเอาไว้ทำการใด !?
เมื่อน้ำทะเลหนุนคนกรุงเจอปัญหาน้ำประปากร่อย “ผู้นำ” ไม่ได้คิด ไม่ได้มองอะไรไปข้างหน้า ได้แต่กล่าวกับประชาชนว่า ก่อนจะนำมาดื่ม “ให้เอาน้ำประปาไปต้ม”
ทำเอา อาจารย์เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ แห่งคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เต้นผางต้องออกมาโบกมือห้ามว่า อย่าต้มๆ
“แค่วิทยาศาสตร์ชั้นประถมศึกษาก็รู้กันว่า การนำน้ำกร่อยหรือมีความเค็มไปต้มนั้นจะเกิดปฏิกิริยาที่เรียกว่า การระเหย ปริมาณจะน้ำลดลง แต่ความเค็มไม่ได้ระเหย น้ำประปาจะเค็มขึ้นกว่าเดิม ถ้านำไปดื่มจะเป็นอันตรายกับคนป่วย”
ประชาชนไม่พ้นภัยถ้าได้ “ผู้นำ” ไม่มีวิสัยทัศน์ !
แต่ถึงอย่างไรการเมืองในระบอบเสรีประชาธิปไตยก็ยังมีวาระ “เปลี่ยนตัว” ซึ่งหมายความว่า ถ้าวันนี้เลือกผิด เชื่อคนผิด ในสมัยหน้าก็เลือกใหม่ได้
ผู้นำทางการเมืองที่เป็น “ฝ่ายบริหาร” จึงมีกำหนดเวลาที่แน่นอนในการทำหน้าที่
“ผู้นำ” ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่อง
เพียงแต่ต้อง “มีทัศนคติที่ดี” และ “มีวิสัยทัศน์” ในการนำพาผู้คนไปข้างหน้า ไม่ใช่ปัดสวะไปให้พ้นตัว !?!!