เหยี่ยวถลาลม วันที่ 6 พฤษภาคม 2563 : จากความรู้สู่‘งมงาย’
แรกทีเดียวที่ “โรคอุบัติใหม่” ซึ่งมีชื่อว่า “โคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่” เกิดขึ้นและระบาดที่เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์ ประเทศจีนนั้น ผู้คนทั่วโลกยังมิทันตั้งตัวรับมือ ยังคงบินไปบินมาหาสู่ระหว่างประเทศกันเป็นปกติ
ต่อเมื่อ “อู่ฮั่น” ถึงขั้นปิดเมือง ทั้งเริ่มพบผู้ป่วยนอกประเทศจีน ทั้งที่ไทยและที่อื่นๆ โลกจึงเริ่มตระหนักในภัยคุกคาม
เกือบ 20 ปีก่อน โคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่เคยให้ประสบการณ์กับผู้คนทั่วโลกมาครั้งหนึ่งแล้วในนาม “ซาร์ส” สร้างความโกลาหลตระหนกตกใจกับเจ็บป่วยล้มตายกันไม่น้อย
จากคราวนั้นโลกได้บทเรียนร่วมกันว่าการรับมือกับ “โรคระบบการหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน” อันเนื่องมาจากโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่นั้นจะต้องอาศัยความรู้ความเชี่ยวชาญ จากนักวิทยาศาสตร์ แพทย์ และผู้มีอำนาจกำหนดนโยบาย
“ซาร์ส” ก่อให้เกิดแนวทางการรับมือเช่นเดียวกับในวันนี้ที่มี “โควิด-19” มาเยือน เช่น การตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย การฉีดน้ำยาฆ่าเชื้อในที่สาธารณะขนส่งสาธารณะ เครื่องบิน เรือโดยสาร ตลอดจนการกักตัวเฝ้าสังเกตอาการ เว้นการเดินทางไปที่ชุมชน ไม่ไอจามพ่นใส่กัน การใส่หน้ากากอนามัย การล้างมือ เว้นสัมผัสผู้ป่วยโดยตรง จนถึงการจำกัดบริเวณ ฯลฯ
ที่จริงแล้ว “มาตรการเพื่อความปลอดภัย” ในวันนี้ก็ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่
เพียงแค่ “โควิด-19” เกรี้ยวกราดและโหดเหี้ยมกว่า “ซาร์ส”
จึงต้องยอม “ปิดบ้าน-ปิดประเทศ”
ผลก็คือ นอกจาก “โควิด-19” แล้วผู้คนยังกระอักจากภัยเศรษฐกิจ ทำให้ความจนแผ่ไปกว้างใหญ่ไพศาล “จน” กันถ้วนหน้า จนเฉียบพลัน
เข้าใจได้ว่า โรคติดต่อนั้นเกี่ยวข้องสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับการมีสุขอนามัยที่ดีของผู้คน
คำแนะนำและมาตรการรับมือที่ได้จากแพทย์และผู้เชี่ยวชาญในตอนแรกทำให้ประเทศเราประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19
แต่พอนานไป ดูเหมือน “ผู้กำหนดทิศทางการดำเนินชีวิต” จะติดใจกับ “การใช้อำนาจควบคุม” จนมองไม่เห็น “ผลสะเทือน” ที่ร้ายแรงซึ่งเกิดจาก “การล็อกดาวน์”
ควรจะต้องย้อนกลับไปตั้งต้น “คิดใหม่”
เปิดใจ-เปิดสมองไตร่ตรองให้ละเอียดรอบคอบรอบด้าน
หมดเวลาแล้วสำหรับการใช้วาทกรรมเดิมๆ ข่มขู่
ผู้คนกำลังจะล้มละลายและอดตาย!?!!